Service Manual of Institute of Pathology

คู่มือการให้บริการการส่งสิ่งส่งตรวจ สถาบันพยาธิวิทยา กรมการแพทย์

      สถาบันพยาธิวิทยา กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เป็นหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้น เพื่อให้บริการทางพยาธิวิทยาแก่หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วประเทศ สถาบันพยาธิวิทยา มีความมุ่งมั่นในการพัฒนางานด้านพยาธิวิทยาให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้รับบริการ อันจะเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนางานด้านสาธารณสุขของชาติให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น ทั้งเป็นการตอบสนองนโยบายรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข ที่จะสนับสนุนให้โรงพยาบาลต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนในการให้บริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพและมาตรฐานแก่ประชาชน

    คู่มือการส่งตรวจทางพยาธิวิทยาอิเล็คทรอนิคฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้รับบริการใช้เป็นแนวทางขอรับบริการของสถาบันพยาธิวิทยาได้อย่างถูกต้องและรับทราบข้อมูลต่าง ๆ ที่สำคัญในการบริการทางพยาธิวิทยา

นโยบายคุณภาพ


“เรามุ่งมั่นที่จะให้บริการทางพยาธิวิทยากายวิภาคที่มีคุณภาพตามมาตรฐานวิชาชีพ”

นโยบาย


นโยบายในการดำเนินการ


  1. สถาบันพยาธิวิทยา มีนโยบายในการรับสิ่งส่งตรวจจากผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมเท่านั้น
  2. ไม่รับตรวจเนื้อเยื้อที่สงสัยว่าเป็นโรค Creutzfeldt-Jakob disease
  3. สิ่งที่ไม่จำเป็นต้องส่งตรวจทางพยาธิวิทยา :
    • กระดูกหรือส่วนของกระดูกจาก corrective หรือ reconstructive orthopaedic procedure
    • เลนส์ตาจากการ remove cataract
    • เนื้อเยื่อไขมันจากการทำ liposuction
    • หนังหุ้มปลายอวัยวะเพศของเด็กทารกจากการผ่าตัด circumscision
    • Intrauterine contraceptive devices ที่ไม่มีเนื้อเยื่ออื่นๆ ติดอยู่
    • Teeth ที่ไม่มีเนื้อเยื่ออื่นๆ ติดอยู่
    • อุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น catheters, gastrostomy tube, stent, suture
    • Skin และ normal tissue อื่นๆ ที่นำออกมาจากร่างกายระหว่างการทำ cosmetic surgery
  4. สิ่งส่งตรวจที่ตรวจด้วยตาเปล่าและไม่จำเป็นต้องทำ microscopic examination :
    • Acessory digits
    • Bunions and hammer toes
    • Extraocular muscle จากการทำ corrective surgery
    • Nasal bone and cartilage จากการทำ rhinoplasty
    • Prosthetic breast implants
    • Prosthetic cardiac valve ที่ไม่มีเนื้อเยื่ออื่นๆ ติดอยู่
    • Torn menincus

มาตรฐานการให้บริการ

 

* ดูเกณฑ์การขอผลตรวจทางพยาธิวิทยาแบบเร่งด่วน (Emergency tract)

การส่งตรวจ


การส่งตรวจ



 

คำแนะนำโดยทั่วไป

  1. สิ่งส่งตรวจทุกชนิด
    • ต้อง ระบุชื่อ - นามสกุลผู้ป่วย อายุ, เพศ, เลขที่ทั่วไป, เลขที่ภายใน (ถ้ามี) ชื่อแพทย์ผู้ส่งตรวจ ชนิดของสิ่งส่งตรวจ และหรือตำแหน่ง ระบุความต้องการตรวจให้ชัดเจน และวันที่นัดผู้ป่วย
    • ต้อง มีใบนำส่งถึงผู้อำนวยการสถาบันพยาธิวิทยา ในกรณีที่มีสิ่งส่งตรวจจำนวนมาก ควรมีใบรายชื่อผู้ป่วยทั้งหมดกำกับมาด้วย เพื่อป้องกันการสูญหาย และสลับราย
    • ต้อง มีใบ Request และกรอกรายละเอียดต่าง ๆ ที่ มีในแบบฟอร์มให้ครบถ้วน กรณีต้องการผลด่วนให้เขียนคำว่าด่วนบนหัวกระดาษ (ควรเป็นกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วนจริง ๆ)
    • ต้องลงทะเบียนในระบบ Web base ซึ่งใช้ Username และ Password ที่ได้รับจากสถาบันพยาธิวิทยาด้วยทุกครั้ง
  2. การส่งตรวจต่อไปนี้ต้องมีการแจ้งล่วงหน้า อย่างน้อย 1 วัน โดยทำการแจ้งไปยังกลุ่มงานที่รับผิดชอบตามหมายเลขโทรศัพท์แนบท้ายนี้
    • Frozen section กลุ่มงานจุลพยาธิ ต่อ 126
    • Kidney biopsy กลุ่มงานชันสูตรพิเศษ ต่อ 125, 215
    • Electron Microscopic Examination กลุ่มงานชันสูตรพิเศษ ต่อ 125, 215
  3. กรุณาปฏิบัติอย่างเคร่งครัดต่อวิธีการเก็บและวิธีส่งสิ่งส่งตรวจของงานบริการแต่ละประเภทเพื่อประโยชน์ สูงสุดของผู้รับบริการและหรือผู้ป่วย

 

การส่งตรวจทางศัลยพยาธิ

วิธีเตรียมชิ้นเนื้อ

วัสดุอุปกรณ์และสารเคมีที่ต้องเตรียม

  1. ขวดปากกว้างมีฝาปิดสนิทขนาดต่าง ๆ อาจจะใช้ขวดแก้วใส ขวดพลาสติกใส หรือ ถุงพลาสติกก็ได้ขึ้นกับขนาดของชิ้นเนื้อ
  2. ใบส่งตรวจทางพยาธิวิทยา
  3. ป้ายกระดาษที่ไม่ฉีกขาดง่ายเมื่อถูกน้ำสำหรับปิดขวด
  4. น้ำยาสำหรับแช่เนื้อที่เหมาะสม คือ 10% Neutral buffered formalin โดยผสมสารต่อไปนี้และคนจนเกลือทั้งสองชนิดละลายหมด
  5. ส่วนผสม
    • 40 % Formaldehyde
    •   100 cc.
    • น้ำ
    •   900 cc.
    • Sodium dihydrogen phosphate monohydrate
    •   4    กรัม
    • Disodium hydrogen phosphate anhydrous
    •   6.5  กรัม

การแช่ชิ้นเนื้อ

  1. ชิ้นเนื้อทุกชนิดที่ได้จากการผ่าตัด, การไบอ็อบซี่ ต้องแช่ชิ้นเนื้อในน้ำยา บัพเฟอร์ ฟอร์มาลินเพื่อป้องกันการเน่า โดยใส่ขวดปากกว้างพอที่จะนำชิ้นเนื้อออกมาได้เมื่อชิ้นเนื้อแข็งเต็มที่แล้ว ขวดควรจะมี ฝาปิดสนิทป้องกันการระเหย ปริมาตรน้ำยาที่ใช้ประมาณ 10-12 เท่าของชิ้นเนื้อ ขวดที่ใส่ชิ้นเนื้อจะต้อง ปิดฉลากชื่อ, นามสกุล, เพศ, อายุ, เลขที่ภายในของโรงพยาบาล วัน เดือน ปี ที่มาของชิ้นเนื้อว่าตัดมาจาก อวัยวะใน ส่วนใด ของร่างกาย ขวาหรือซ้าย ชื่อแพทย์ผู้ส่งตรวจ และคำวินิจฉัยของแพทย์ผู้รักษา ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการสลับ ชิ้นเนื้อใช้ดินสอและปากกาลูกลื่นที่ไม่ลบเลือนในน้ำยาฟอร์มาลินและแอลกอฮอล์ เขียนฉลาก
  2. ถ้าหากชิ้นเนื้อมีขนาดใหญ่ น้ำยาจะซึมผ่านได้ไม่ตลอดทำให้เนื้อส่วนที่อยู่ลึกจากผิวเน่า จึงควรจะฝานเนื้อเป็นชิ้น ๆ มีความหนาประมาณ 1-2 ซม. โดยไม่ขาดจากกัน และต้องไม่ทำให้ชิ้นเนื้อ เสียรูปร่าง คือ สามารถจะจัดเรียงเป็นรูปเดิมได้ เพื่อการตรวจทางกายวิภาคให้ถูกต้อง ถ้าหากชิ้นเนื้อ มีขนาดเล็กมาก ควรห่อด้วยกระดาษสาชั้นหนึ่งก่อนแช่น้ำยา
  3. โดยทั่ว ๆ ไป พยาธิแพทย์มีความประสงค์จะตรวจชิ้นเนื้อทั้งหมดที่ตัดออกมาจากผู้ป่วยเพื่อจะได้ดูถึงพยาธิสภาพทั้งด้วยตาเปล่าและด้วยกล้องจุลทรรศน์ และบันทึกเป็นหลักฐานทางวิชาการได้ ถูกต้องตามความเป็นจริง เพื่อประโยชน์ของผู้ป่วยและการติดตามผลภายหลัง

วิธีการบรรจุชิ้นเนื้อส่งทางไปรษณีย์

  1. การบรรจุชิ้นเนื้อที่มีขนาดใหญ่ ไม่ควรมัดถุงอัดแน่นหรือพองเกินไป เมื่อเกิดแรงกระแทกจะทำให้ถุงรั่วซึมหรือแตกได้ ทำห่อถุงหลายๆ ชั้นป้องกันการรั่วซึม และติดสติ๊กเกอร์กันน้ำที่ถุงด้านใน และนอกถุงอีกครั้งป้องกันการผิดพลาดของชิ้นเนื้อของคนไข้

  2. รูปตัวอย่างการบรรจุชิ้นเนื้อ

  3. ถ้าบรรจุแบบเป็นกระป๋องให้ซีนปากกระป๋องให้สนิท ป้องกันการรั่วซึม และให้ติดสติ๊กเกอร์แบบกันน้ำชื่อคนไข้ที่ขวด และให้ใช้ถุงบรรจุอีกรอบและติดสติ๊กเกอร์ชื่อของคนไข้ที่ถุงด้านนอกอีกครั้ง

  4. รูปตัวอย่างการบรรจุชิ้นเนื้อ

  5. ใบนำส่งและใบขอตรวจให้แยกใส่ซองพลาสติกกันน้ำหรือใส่ถุงวิปล็อคกันน้ำเพื่อป้องกันน้ำยาฟอร์มาลีนรั่วซึมโดน

  6. รูปตัวอย่างการบรรจุชิ้นเนื้อ

  7. บรรจุเสร็จให้กรอกชื่อ ตามตัวอย่าง และให้เขียน ระวังแตกบรรจุเสร็จให้กรอกชื่อ ตามตัวอย่าง และให้เขียน ระวังแตกนำส่งไปรษณีย์ จ่าหน้าถึง ผู้อำนวยการสถาบันพยาธิวิทยา (งานศูนย์รับ-ส่งส่งตรวจ) สถาบันพยาธิวิทยา เลขที่ 2/2 ถนนพญาไท แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400


 

การขอผลการตรวจแบบเร่งด่วน (Emergency tract)

  1. ให้ระบุขอผลการตรวจแบบเร่งด่วนในใบขอส่งตรวจ
  2. เป็นการให้บริการตรวจทางพยาธิวิทยาในผู้ป่วยที่มีข่อบ่งชี้ทางการแพทย์ (medical indications) ที่คุกคามชีวิต (life-threatening) และต้องการผลตรวจเพื่อประกอบการรักษา ได้แก่
    - การติดเชื้อที่คุกคามชีวิต เช่น invasive fungal infection
    - มะเร็งที่มีภาวะต้องรักษาอย่างเร่งด่วน เช่น SVC syndrome
  3. รับตรวจเฉพาะชิ้นเนื้อขนาดเล็ก (small biopsy) ที่แช่น้ำยา formalin และสิ่งส่งตรวจเซลล์วิทยา (cytology)
  4. การรายงานผลภายใน 4 วันทำการ นับตั้งแต่วันที่ได้รับสิ่งส่งตรวจ
  5. หากจำเป็นต้องได้ผลตรวจก่อน 4 วันทำการ กรุณาติดต่อพยาธิแพทย์ก่อนการส่งตรวจ (สอบถามชื่อพยาธิแพทย์ผู้รับผิดชอบที่ เบอร์ 02-3548208 ต่อ 212, 216)
  6. ชิ้นเนื้อขนาดใหญ่จะไม่สามารถส่งตรวจด้วยวิธีนี้ได้ ด้วยข้อจำกัดในกระบวนการเตรียมชิ้นเนื้อ
  7. การให้บริการผลการตรวจแบบเร่งด่วนไม่ใช่วิธีที่ใช้ทดแทนการตรวจแบบปกติ เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายกับสิ่งส่งตรวจระหว่างการเตรียมสิ่งส่งตรวจ
  8. ราคาค่าตรวจเป็นราคาปกติ





 

การส่งตรวจทางเซลล์วิทยา


วิธีการเก็บและวิธีส่งตรวจทางเซลล์วิทยา







 

วิธีการส่งตรวจ (Frozen sections)

การส่งชิ้นเนื้อสดจากห้องผ่าตัดกรณีต้องการทราบผลเร่งด่วนต้องปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้

  1. นำใบรายงานส่งห้องปฏิบัติการจุลพยาธิ 2 เพื่อนัดล่วงหน้าอย่างน้อย 1 วัน โดยระบุ รายละเอียดให้ครบถ้วน ดังนี้
    • ชื่อ-นามสกุล อายุ เพศ HN AN แพทย์ผู้ทำการผ่าตัดหอผู้ป่วยพร้อมหมายเลข โทรศัพท์ห้องผ่าตัดสำหรับการแจ้งผลการวินิจฉัยให้แพทย์ผู้ทำการผ่าตัดทราบ
    • ชนิดและตำแหน่งของสิ่งส่งตรวจ ประวัติการตรวจวินิจฉัยเบื้องต้น
    • วัน เวลา ที่จะทำการผ่าตัด
  2. การส่งชิ้นเนื้อสดให้นำชิ้นเนื้อสดที่ได้จากการผ่าตัดโดยไม่ต้องแช่ในน้ำยาใด ๆ ทั้งสิ้น บรรจุชิ้นเนื้อสดในภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด พร้อมระบุชื่อ-นามสกุล และตำแหน่งของชิ้นเนื้อเพื่อ ตรวจสอบความถูกต้อง
  3. ในกรณีที่ได้รับผลครั้งแรกแล้วต้องการส่งชิ้นเนื้อสดเพิ่มเติม ให้รีบแจ้งพยาธิแพทย์และเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการทราบโดยเร็วที่สุด

หมายเหต : กรณีที่นำใบรายงานส่งไปนัดล่วงหน้าแล้ว ต้องการงดทำ Frozen sections กรุณาแจ้ง ให้เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการทราบด้วย


 

การส่งตรวจทางอณูพยาธิวิทยา (Molecular Pathology)

  1. การตรวจวิเคราะห์และชนิดของสิ่งส่งตรวจ

  2. รายการ บล็อกพาราฟิน เลือด
    1. Real-time PCR for MTB (M. tuberculosis complex)  
    2. Real-time PCR for MDR (TB)  
    3. EGFR mutation (Exon 18, 19, 20 and 21)
    4. KRAS mutation (codon 12, 13, 59, 61, 117, 146)  
    5. NRAS mutation (codon 12, 13, 59, 61, 117, 146)  
    6. RAS mutation (KRAS codon 12, 13, 59, 61, 117, 146 and NRAS codon 12, 13, 59, 61, 117, 146)  
    7. BRAF mutation (V600)  
    8. Microsatellite instability (MSI)  
    9.  EGFR mutation (Fast track)  
    10. Lung Cancer Fusion Gene (ALK, ROS1, RET, NTRK1/2/3, METex14 skipping)  
    11. HER2 mutation (Exon 19 and 20)  
    12. PIK3CA mutation (Exon 2, 5, 8, 10 and 21)  
    13. Immunoglobulin heavy chain (IgH) gene rearrangement  
    14. Immunoglobulin kappa light chain (IgK) gene rearrangement  
    15. T cell receptor gamma (TCRG) gene rearrangement  
    16. T cell receptor beta (TCRB) gene rearrangement  
    17. T cell receptor delta (TCRD) gene rearrangement  


  3. ตัวอย่างส่งตรวจวิเคราะห์ทางอณูพยาธิวิทยา


  4. 2.1 ตัวอย่างสิ่งส่งตรวจที่เป็นบล็อกพาราฟิน (Formalin-fixed, paraffin-embedded (FFPE) tissue)
        - รายการตรวจที่ 1 ถึงรายการตรวจที่ 17 งานอณูพยาธิวิทยา รับเฉพาะสิ่งส่งตรวจที่เป็นบล็อกพาราฟิน (Formalin-fixed, paraffin-embedded (FFPE) tissue) เท่านั้น
        - เลือกจากบล็อกพาราฟิน ที่ได้รับการวินิจฉัยแล้ว ที่มีส่วนของรอยโรคที่ต้องการตรวจ โดยส่งบล็อกพาราฟิน และสไลด์ H&E ของบล็อกนั้น จำนวนอย่างน้อย 1 ชุด ไม่เกิน 5 ชุด โดยขนาดชิ้นเนื้อที่เหลืออยู่ในบล็อกพาราฟิน และปริมาณ Tumor cell ควรมีขนาดอย่างน้อย ดังนี้


    ชนิดการตรวจวิเคราะห์ ขนาดชิ้นเนื้อในบล็อก (FFPE) ที่ส่งมาตรวจวิเคราะห์ จำนวนเซลล์ที่ควรมีอยู่ใน Cytology slide
    หรือ Cell block
    Real-time PCR for MTB/ 16 mm 2: 4 mm. x 4 mm. ความหนาอย่างน้อย 40 µm ≥100 Cells ความหนาอย่างน้อย 40 µm
    KRAS mutation/
    NRAS mutation/
    RAS mutation/
    BRAF mutation/
    HER2 mutation/
    Gene
    rearrangement
    16 mm2: 4 mm. x 4 mm. ความหนาอย่างน้อย 40 µm
    Neoplastic cell content ≥10%
    ≥100 Cells ความหนาอย่างน้อย 40 µm
    EGFR mutation/
    PIK3CA mutation
    16 mm2: 4 mm. x 4 mm. ความหนาอย่างน้อย 30 µm
    Neoplastic cell content ≥10%
    ≥100 Cells ความหนาอย่างน้อย 30 µm
    Microsatellite
    instability
    50 mm2 ความหนาอย่างน้อย 30 µm
    Neoplastic cell content ≥20%
    -
    Lung Cancer Fusion
    Gene
    20 mm2ความหนาอย่างน้อย 30 µm
    Neoplastic cell content ≥10%
    -

    2.2 ตัวอย่างสิ่งส่งตรวจที่เป็นเลือด (Blood sample)
       - งานอณูพยาธิวิทยารับสิ่งส่งตรวจที่เป็นเลือดเฉพาะรายการตรวจที่ 3 เท่านั้น
      - หลอดใส่เลือดที่สามารถใช้ในการส่งตัวอย่างเลือดเพื่อนำมาตรวจวิเคราะห์ได้ ประกอบด้วย K2 EDTA Collection Tube, K3 EDTA Collection Tube, PAXgene Blood DNA Tube, STRECK Tube และ Roche Cell-Free DNA Collection Tube โดยปริมาตรของเลือดที่ต้องการ, ระยะเวลาที่ควรส่งตัวอย่างถึงห้องปฏิบัติการ และอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการขนส่งตัวอย่างเลือด ขึ้นอยู่กับชนิดของหลอดเก็บตัวอย่างเลือด โดยมีรายละเอียดดังนี้
        1.กรณีใช้หลอดเก็บเลือดชนิด K2 EDTA Collection Tube หรือ K3 EDTA Collection Tube ทำการเก็บตัวอย่างเลือดปริมาตรอย่างน้อย 4 มิลลิลิตร จำนวน 2 หลอด และต้องจัดส่งตัวอย่างเลือดถึงห้องปฏิบัติการอณูพยาธิวิทยา สถาบันพยาธิวิทยา ภายใน 6 ชั่วโมงหลังจากเจาะเลือดจากคนไข้ โดยขนส่งที่อุณหภูมิ ≤ 30 องศาเซลเซียส
        2.กรณีใช้หลอดเก็บเลือดชนิด PAXgene Blood DNA Tube, STRECK Tube หรือ Roche Cell-Free DNA Collection Tube ทำการเก็บตัวอย่างเลือดปริมาตรอย่างน้อย 8 มิลลิลิตร จำนวน 1 หลอด เก็บรักษาและขนส่งหลอดเลือดที่อุณหภูมิ 18-25 องศาเซลเซียส ต้องจัดส่งตัวอย่างเลือดถึงห้องปฏิบัติการอณูพยาธิวิทยา สถาบันพยาธิวิทยา ภายใน 3 วัน หลังจากเจาะเลือดจากคนไข้
        - กรณีที่ผู้ส่งตรวจทำการส่งตัวอย่างด้วยตนเอง ให้นำหลอดเลือดพร้อมเอกสารที่ต้องส่งมาพร้อมสิ่งส่งตรวจ มาส่งโดยตรงที่งานอณูพยาธิวิทยา ชั้น 3 สถาบันพยาธิวิทยา
        - กรณีเป็นการจัดส่งตัวอย่างผ่านแมสเสนเจอร์หรือบริษัทขนส่งเอกชน ให้ทำการห่อหลอดเลือดด้วยแผ่นกันกระแทก หรือบับเบิ้ล จากนั้นใส่หลอดเลือดลงในถุงซิปล็อคและปิดปากถุงให้สนิทดังตัวอย่างในรูป เพื่อป้องกันการแตกเสียหายของหลอดเก็บตัวอย่างเลือด และเขียนหน้ากล่องระบุว่า “ส่งตัวอย่างเลือดเพื่อตรวจวิเคราะห์ห้องอณูพยาธิวิทยา” และส่งตัวอย่างมาที่ งานอณูพยาธิวิทยา อาคาร 2 ชั้น 3 สถาบันพยาธิวิทยา กรมการแพทย์ จากนั้นติดต่อแจ้งงานอณูพยาธิวิทยาตามเบอร์ติดต่อในข้อ 7 แจ้งความประสงค์ในการส่งตัวอย่างเลือดมาทำการตรวจวิเคราะห์ เพื่อป้องกันการตกหล่นของตัวอย่าง

  5. เอกสารที่ต้องส่งมาพร้อมกับสิ่งส่งตรวจ
  6.     - ให้สถานพยาบาลผู้ส่งตรวจกรอกรายละเอียดต่างๆ ที่มีในใบส่งตรวจ (Request form; IOP-RQ-FO-04 V.4) ให้ครบถ้วน
        - พร้อมทั้งแนบใบรายงานผลทางพยาธิวิทยาที่ระบุหมายเลขบล็อกและสไลด์ H&E ที่ตรงกับสิ่งส่งตรวจ เท่านั้น

  7. ข้อจำกัดในการตรวจ
  8.      4.1 กรณีการตรวจมีปัญหาเนื่องจากสารพันธุกรรมของตัวอย่างคุณภาพไม่ดี สถาบันพยาธิวิทยา ขอจำกัดการตรวจซ้ำ โดยจะทำการตรวจซ้ำให้อีก 1 ครั้ง ทั้งนี้หากยังไม่สามารถตรวจ และรายงานผลการตรวจได้ ทางสถาบันพยาธิวิทยาจะรายงานกลับว่า “ไม่สามารถตรวจได้ เนื่องจากสารพันธุกรรมของตัวอย่างคุณภาพไม่ดี” โดยค่าบริการการตรวจวิเคราะห์ สถาบันพยาธิวิทยา จะคิดราคาเท่ากับการตรวจเพียง 1 ครั้ง เท่านั้น
        4.2 กรณีที่พยาธิแพทย์ของสถาบันพยาธิวิทยา ตรวจพบว่าสิ่งส่งตรวจส่วนที่เหลือจากการวินิจฉัยครั้งแรก ไม่พบบริเวณรอยโรคหรือเนื้อมะเร็งที่จะทำการตรวจวิเคราะห์ทางอณูพยาธิวิทยา สถาบันพยาธิวิทยาขอ ปฏิเสธสิ่งส่งตรวจดังกล่าว ทั้งนี้จะเก็บค่าบริการเฉพาะการผลิตสไลด์ H&E เท่านั้น
        4.3 รายการตรวจที่ 2 Real-time PCR for MDR (TB) ต้องทราบผลและผ่านการตรวจด้วยชุดน้ำยา Real-time PCR for MTB กับทางสถาบันพยาธิวิทยามาแล้วเท่านั้น
        4.4 กรณีส่งตรวจวิเคราะห์ Microsatellite instability (MSI) และ Lung Cancer Fusion Gene (ALK, ROS1, RET, NTRK1/2/3, METex14 skipping) แล้วพบว่าการตรวจมีปัญหาเนื่องจากสารพันธุกรรมของตัวอย่างคุณภาพไม่ดี สถาบันพยาธิวิทยา ขอจำกัดการตรวจซ้ำและทางสถาบันพยาธิวิทยาจะรายงานกลับว่า “ไม่สามารถตรวจได้ เนื่องจากสารพันธุกรรมของตัวอย่างคุณภาพไม่ดี” โดยค่าบริการการตรวจวิเคราะห์ สถาบันพยาธิวิทยา จะคิดราคาเท่ากับการตรวจ 1 ครั้ง

  9. การปฏิเสธสิ่งส่งตรวจ
  10.     5.1 งานอณูพยาธิวิทยา สถาบันพยาธิวิทยา กรมการแพทย์ ขอปฏิเสธการรับสิ่งส่งตรวจ ในกรณีที่ผู้ส่งตรวจมิได้ปฏิบัติตามข้อแนะนำตามระเบียบปฏิบัติ วิธีการเก็บ และวิธีส่งสิ่งส่งตรวจ ดังกล่าวข้างต้น
        5.2 งานอณูพยาธิวิทยา สถาบันพยาธิวิทยา กรมการแพทย์ ขอปฏิเสธการรับสิ่งส่งตรวจสำหรับรายการตรวจที่ 3 ในกรณีที่หลอดเลือดผู้ป่วยแตกเนื่องจากการขนส่ง

  11. การติดต่อสอบถาม
  12.     ติดต่อ งานอณูพยาธิวิทยา กลุ่มงานชันสูตรพิเศษ หมายเลขโทรศัพท์ 02-3548208-15 ต่อ 233


 

วิธีการส่งตรวจ FISH, DISH

  1. การตรวจวิเคราะห์และชนิดของสิ่งส่งตรวจ

  2. รายการ บล็อกพาราฟิน
    1. HER2 DISH
    2. ALK FISH
    3. EWSR1 FISH
    4. N-Myc FISH
    5. SS18 FISH
    6. ETV6 FISH

  3. ตัวอย่างส่งตรวจวิเคราะห์ งานวิเคราะห์เซลล์



2.1 ตัวอย่างสิ่งส่งตรวจที่เป็นบล็อกพาราฟิน (Formalin-fixed, paraffin-embedded (FFPE) tissue)

     2.1.1 รายการตรวจที่ 1 ถึงรายการตรวจที่ 6 งานวิเคราะห์เซลล์รับเฉพาะสิ่งส่งตรวจที่เป็นบล็อกพาราฟิน (Formalin-fixed,
paraffin-embedded (FFPE) tissue) เท่านั้น

      2.1.2 รายการตรวจที่ 1 (HER2 DISH) ต้องส่งสิ่งส่งตรวจ ดังนี้

  • บล็อกพาราฟิน (Formalin-fixed, paraffin-embedded (FFPE) tissue)
  • สไลด์ H&E
  • สไลด์ที่ย้อมอิมมูโนฮีสโตเคมี ชนิด HER2 (HER2 IHC)

     2.1.3 เลือกจากบล็อกพาราฟิน ที่ได้รับการวินิจฉัยแล้ว ที่มีส่วนของรอยโรคที่ต้องการตรวจ โดยส่งบล็อกพาราฟิน และสไลด์ H&E ของบล็อกนั้น ซึ่งควร
มีปริมาณ Tumor cell อย่างน้อย ดังนี้

ชนิดการตรวจวิเคราะห์ จำนวนเซลล์ที่ควรมีอยู่ใน FFPE
HER2 DISH > 20 cells
ALK FISH > 50 cells
EWSR1 FISH > 100 cells
N-MYC FISH > 25 cells
SS18 FISH > 50 cells
ETV6 FISH > 100 cells

3.เอกสารที่ต้องส่งมาพร้อมกับสิ่งส่งตรวจ
    3.1 ให้สถานพยาบาลผู้ส่งตรวจกรอกรายละเอียดต่างๆ ที่มีในใบส่งตรวจ (Request form; IOP-RQ-FO-05) ให้ครบถ้วน
    3.2 พร้อมทั้งแนบใบรายงานผลทางพยาธิวิทยาที่ระบุหมายเลขบล็อกและสไลด์ (H&E และ HER2 IHC) ที่ตรงกับ สิ่งส่งตรวจ เท่านั้น


 

วิธีการส่งตรวจทาง Histochemistry


          ตัวอย่างที่ชิ้นเนื้อส่งเพื่อตรวจทางพยาธิวิทยา นอกจากจะเป็นชิ้นเนื้อที่ผ่านการตรวจด้วยตาเปล่าจากงานศัลพยาธิ และนำเข้าขบวนการเตรียมชิ้นเนื้อ เพื่อให้มีความแข็งมากพอที่จะสามารถตัดให้เป็นแผ่นบางๆ จากนั้นนำมาย้อมสีด้วยสีพื้นฐาน Hematoxylin and Eosin การย้อมสีวิธีนี้ทำให้พยาธิแพทย์มองเห็นโครงสร้างของเซลล์ และรอยโรคได้ แต่หากข้อมูลหรือรายละเอียดยังไม่เพียงพอพยาธิแพทย์ จะมีการสั่งย้อมสีด้วยพิเศษเพิ่มเติม สิ่งส่งตรวจทางฮิสโตเคมี(Histochemistry) ได้แก่

  1. การส่งพาราฟินบล็อกที่ได้รับการวินิจฉัยเบื้องต้นแล้ว มีส่วนที่ส่งสัยต้องการย้อมสีพิศษเพิ่ม โดยระบุหมายเลขบล็อกชิ้นเนื้อ วิธีย้อมสีพิเศษ เช่น GMS,AFB,PAS อื่นๆ ทาง Website ของทางสถาบันพยาธิ โดยปฏิบัติตามคู่มือการลงทะเบียนย้อมพิเศษ (online) download ที่นี้ ซึ่งใช้ Username และ Password ที่ได้รับจากสถาบันพยาธิในการเข้าสู่ระบบส่งตรวจพิเศษ/สั่งย้อมพิเศษ (ไม่แปลผล)

  2. การส่งตัวอย่างสไลด์
    • สไลด์ Cyto หรือสารน้ำ จะต้องแช่ตัวอย่างอย่างสไลด์ใน 95% alcohol อย่างน้อย 30 นาที เพื่อ Fix โดยบนแผ่นสไลด์จะต้องระบุหมายเลขสไลด์ และวิธีย้อมสีอย่างชัดเจน
    • สไลด์ Cyto หรือสารน้ำ เพื่อย้อม lipid จะต้องแช่ตัวอย่างอย่างสไลด์ใน 60% Isopropanal อย่างน้อย 30 นาที เพื่อ Fix โดยบนแผ่นสไลด์จะต้องระบุหมายเลขสไลด์ และวิธีย้อมสีอย่างชัดเจน
    • สไลด์ชิ้นเนื้อต้องตัดที่ความหนา 5 ไมครอน และช้อนชิ้นเนื้อให้ตรงกลาง เพื่อเหลือพื้นที่ให้ห้องปฏิบัติการใส่ positive control โดยไม่ต้องอบสไลด์ แต่ควรระมัดระวังไม่ให้สไลด์มีรอย โดยบนแผ่นสไลด์จะต้องระบุหมายเลขสไลด์ และวิธีย้อมสีอย่างชัดเจน

  3. การส่งชิ้นเนื้อ เพื่อการย้อมสีด้วยวิธี Oil red O การย้อมสีวิธี เป็นการย้อมหา Fat หรือ lipid ในชิ้นเนื้อในน้ำยา 10% formalin เพื่อ Fix (การย้อมวิธีชิ้นเนื้อจะต้องไม่ผ่านขบวนการเตรียมชิ้นเนื้อด้วยน้ำยาเคมี เพราะมีน้ำยาที่ใช้เตรียมชิ้นเนื้อมี คุสมบัติเป็นตัวทำละลาย Fat หรือ lipid ในชิ้นเนื้อ)

 

วิธีการส่งตรวจทาง (Immunohistochemistry)


  1. การส่งเป็นพาราฟินบล็อกชิ้นเนื้อ
    1. เลือกพาราฟินบล็อกที่ได้รับการวินิจฉัยเบื้องต้นแล้วว่า มีส่วนของชิ้นเนื้อที่สงสัยและต้องการตรวจ ย้อมด้วยเทคนิคอิมมูโนฮีสโตเคมี
    2. ระบุชนิดของแอนติเจนหรือรายการย้อมที่ต้องการตรวจ หมายเลขบล็อก และรายละเอียดต่าง ๆ ในระบบลงทะเบียนผ่านทาง Website ของทางสถาบันพยาธิ โดยปฏิบัติตามคู่มือการลงทะเบียนย้อมพิเศษ (online) download ที่นี้ ซึ่งใช้ Username และ Password ที่ได้รับจากสถาบันพยาธิ ในการเข้าสู่ระบบส่งตรวจพิเศษ/สั่งย้อมพิเศษ (ไม่แปลผล)
    3. ส่งตัวอย่างพาราฟินบล็อก พร้อมกับใบสั่งย้อมพิเศษ Histochemistry/Immunohistochemistry (ไม่แปลผล) ที่ Print จากระบบลงทะเบียนย้อมพิเศษ (online) ผ่านทาง Website สถาบันพยาธิ ส่งมาที่ห้องปฏิบัติการอิมมูโนฮีสโตเคมี ชั้น 2 สถาบันพยาธิวิทยา
  2. การส่งเป็นสไลด์
    1.   สไลด์ที่ตัดจากพาราฟินบล็อก ความหนาของ section อยู่ที่ประมาณ 3 ไมครอน นำเข้าตู้อบที่ อุณหภูมิ 65o C โดยทิ้งไว้ข้ามคืน หรือที่ 75 o C อย่างน้อย 30 นาที โดยใช้สไลด์ที่เคลือบด้วย 3-aminopropyl triethoxysilane หรือ สไลด์เคลือบประจุบวก (Slide Superfrost plus) สำหรับการย้อมด้วยเครื่องย้อมอัตโนมัติ Leica BOND MAX และ BOND III หรือ สไลด์เคลือบประจุบวก Matsunami ซึ่งเป็นสไลด์ Hydrophilic สำหรับรายการที่ย้อมด้วยเครื่องย้อมอัตโนมัติ Ventana BenchMark Ultra โดยมีรายการดังต่อไปนี้
      • ALK(D5F3)
      • Her-2
      • BRAF V600E
      • ROS-1
      • CXCL13
      • PD-L1(22C3)
      • PD-L1(SP142)
      • Pan-TRK
      • EBER(ISH)
      • RNA Probe


         ทั้งนี้การช้อนชิ้นเนื้อลงบนสไลด์เคลือบประจุบวกควรช้อนให้ บริเวณที่ต้องการตรวจอยู่ในตำแหน่งกี่งกลางสไลด์ (ดังภาพที่ 1) และควรเว้นพื้นที่สำหรับใส่ชิ้นเนื้อ Positive control (ดังภาพที่ 2) และควรสำรองสไลด์มาเพิ่มอีก 1 แผ่น เพื่อใช้ในกรณี เกิดเหตุเครื่องขัดข้อง หรือชิ้นเนื้อเกิดการหลุดลอก ซึ่งจะทำให้สามารถแก้ไขปัญหาได้รวดเร็ว แต่ไม่ควรตัด ไว้นานเกิน 5 วัน หากตัดไว้นานเกินควรเก็บไว้ในตู้เย็น เพื่อรักษาสภาพชิ้นเนื้อ เนื่องจากแอนติเจนอาจเสื่อมสภาพ จนทำให้ย้อมติดสีจาง หรือ ไม่ติดสีได้


    ภาพที่ 1

    ภาพที่ 2

              2.2  สไลด์จากเซลล์สเมียร์ หรือ Liquid-based อาจจะเป็น
                      2.2.1 สไลด์ที่ผ่านการย้อมสี PAP หรือ H&E มาแล้ว
                      2.2.2 สไลด์ที่ยังไม่ผ่านการย้อมสี ให้ fix มาใน 95% แอลกอฮอล์
                      2.2.3 สไลด์ Imprint เช่น จากมะเร็งเต้านมที่ต้องการย้อมหา ER, PR
                                 -   fix ใน 10% buffer formalin 2-4 ชม.

              2.3  ระบุชนิดของแอนติเจนหรือรายการย้อมที่ต้องการตรวจ หมายเลขสไลด์ และรายละเอียดต่าง ๆ ในระบบลงทะเบียน โดยผ่านทาง Website นี้ https://webbased.iop.or.th ซึ่งใช้ Username และ Password ที่ได้รับจากสถาบันพยาธิ ในการเข้าสู่ระบบสั่งย้อมพิเศษ โดยถ้าหากเป็นสไลด์ Unstainที่ตัดจากพาราฟินบล็อกสามารถสั่งย้อมได้แบบเดียวกับการส่งเป็นบล็อกพาราฟินชิ้นเนื้อ ส่วนสไลด์จากเซลล์สเมียร์ หรือ Liquid-based ให้สั่งย้อมโดยเลือกระบบสไลด์ Cyto/Restain(IHC) จากนั้น Print ใบสั่งย้อมพิเศษ Histochemistry/Immunohistochemistry (ไม่แปลผล) แล้วนำส่งพร้อมกับสไลด์ตัวอย่างที่ส่งตรวจ


    ภาพตัวอย่างสไลด์จากเซลล์สเมียร์ที่ผ่านการย้อมสี PAP smear มาแล้ว


    3 ส่งสไลด์ปรึกษา

       วิธีการส่งตรวจ

            3.1 ส่งสไลด์พร้อมบล็อกชิ้นเนื้อในกรณีปรึกษาชิ้นเนื้อทางอิมมูโนฮีสโตเคมี พร้อมกับใบประวัติผู้ป่วย ที่ระบุผลการตรวจทางคลินิก การวินิจฉัยโรค รายการขอตรวจย้อมชิ้นเนื้อ นำส่งงานศูนย์รับ สิ่งส่งตรวจ เพื่อทำการลงทะเบียนและออกหมายเลข ขอส่งตรวจปรึกษา
            3.2 โปรดระบุ ชนิดของการปรึกษาให้ชัดเจน ทั้งนี้สามารถตรวจสอบค่าบริการตรวจย้อมงานอิมมูโนฮีสโตเคมี ได้ที่ Qrcode ด้านล่างนี้



    Qrcode ตรวจสอบค่าบริการตรวจย้อมงานอิมมูโนฮีสโตเคมี


     

    วิธีการส่งปรึกษาเพื่อการวินิจฉัย

    1. ใบส่งตรวจต้องใช้ใบส่งปรึกษา ต้องระบุชื่อ - นามสกุลผู้ป่วย อายุ, เพศ, เลขที่ทั่วไป, เลขที่ภายใน (ถ้ามี) ชื่อแพทย์ผู้ส่งตรวจ ชนิดของสิ่งส่งตรวจ ตำแหน่ง หมายเลขบล็อค สไลด์ จำนวนบล็อค สไลด์มาให้ครบถ้วนและระบุผลการตรวจทางคลินิก, การวินิจฉัยโรค โปรดระบุชนิดของการปรึกษาให้ชัดเจน
    2. ต้องมีพาราฟินบล็อคและสไลด์ที่ต้องการปรึกษาส่งมาให้ครบถ้วน
    3. แนบผลการวินิจฉัยคนไข้ ประวัติการรักษาคนไข้ ๖ผล X-ray, CT scan, MRI (ถ้ามี)
    4. ต้องลงทะเบียนในระบบ Web base ซึ่งใช้ Username และ Password ที่ได้รับจากสถาบัน-พยาธิวิทยาด้วยทุกครั้ง
    5. ต้อง มีใบนำส่งถึงผู้อำนวยการสถาบันพยาธิวิทยา และใบนำส่งปรึกษาที่มีรายชื่อผู้ป่วยที่ลงทะเบียนแล้วเป็นบาร์โค๊ดมาด้วยทุกครั้ง

     

    งานบริการตรวจศพ

    วิธีการส่งตรวจ

    1. ในการขอชันสูตรศพ แพทย์ผู้ขอมีหน้าที่อธิบายแก่ญาติ ให้ทราบขั้นตอนและวิธีการของการตรวจศพก่อนทำการตรวจศพ ดังนี้
      • ต้องมีรอยผ่าและเย็บบริเวณหน้าอกถึงท้องน้อย และบริเวณหนังศีรษะ
      • ต้องมีการเอาอวัยวะภายในออกมาตรวจ
      • ต้องใช้เวลาในการตรวจประมาณ 3 ชั่วโมงต่อราย
    2. ส่งศพที่ต้องการตรวจ พร้อมใบยินยอมของญาติผู้เสียชีวิตแฟ้มประวัติผู้เสียชีวิต และใบร้องขอตรวจศพของแพทย์ผู้ขอให้กลุ่มงานตรวจศพ สถาบันพยาธิวิทยา
    3. ศพที่ต้องการตรวจไม่ควรเสียชีวิตเกิน 3 วัน
    4. แพทย์ผู้ขอ สามารถเข้าร่วมทำการตรวจศพกับพยาธิแพทย์ได้

     

    วิธีการส่งชิ้นเนื้อ kidney biopsy

    1. แจ้งให้เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการผู้รับผิดชอบทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 1 วัน โดยโทรศัพท์แจ้งที่ สถาบันพยาธิวิทยา
      เบอร์โทรศัพท์ 0-2354-8208-15 แล้วต่อสายภายในตามหมายเลขเรียงลำดับ ดังนี้
      • ห้องปฏิบัติการจุลทรรศน์อิเล็กตรอน โทร.215 - กลุ่มงานชันสูตรพิเศษ โทร.136
      • ศูนย์รับ-ส่งสิ่งส่งตรวจ โทร.212
    2. เตรียมน้ำยาใส่ขวดไว้ ดังนี้
      • ขวดที่ 1 : 4% glutaraldehyde in phosphate buffer
      • ขวดที่ 2 : normal saline
      • ขวดที่ 3 : 10% neutral buffer formalin

         น้ำยาทั้งหมดขอรับล่วงหน้าที่ห้องปฏิบัติการจุลทรรศน์อิเล็กตรอน สถาบันพยาธิวิทยา แล้วนำไปเก็บไว้ในตู้เย็นอุณหภูมิ 4°C หรือเตรียมได้เองตามวิธีเตรียมในตอนท้ายของคู่มือนี้

    วิธีเก็บชิ้นเนื้อที่ได้จากการทำ Kidney biopsy

    1. ล้างชิ้นเนื้อที่เก็บได้ด้วย normal saline ทันที
    2. หยด normal saline ลงบนสไลด์ นำชิ้นเนื้อวางลงใน normal saline แล้วใช้มีดโกนหรือมีดผ่าตัดใหม่ ที่มีความคมมากแบ่งชิ้นเนื้อเป็น 5 ชิ้น อย่างรวดเร็วโดยให้ได้สัดส่วน ดังรูป
    3. นำชิ้นเนื้อทั้งหมดใส่ลงในขวดน้ำยาอย่างรวดเร็ว ดังนี้
      • ส่วนที่ 1 ใส่ลงใน 2.5% glutaraldehyde (สำหรับตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน)
      • ส่วนที่ 2 ใส่ลงใน O.C.T compound (สำหรับตรวจด้วยวิธี Immunofluorescence)
      • ส่วนที่ 3 ใส่ลงใน 10% neutral buffer formalin (สำหรับตรวจด้วย light microscope)
    4. แยกบรรจุขวดน้ำยาเพื่อนำส่ง ดังนี้

      4.1 นำขวดน้ำยา 2.5% glutaraldehyde และ 10% neutral buffer formalin บรรจุลงในภาชนะเก็บความเย็นเดียวกัน นำส่งโดยแช่ในน้ำแข็งธรรมดา (ห้าม แช่ฟรีส หรือ ใส่ในน้ำแข็งแห้ง) แล้วนำส่งอย่างรวดเร็ว
      4.2 นำขวดน้ำยา O.C.T compound บรรจุลงในภาชนะเก็บความเย็น นำส่งโดยแช่ในน้ำแข็งแห้ง

    5. หากไม่สามารถนำส่งได้ทันทีให้ดำเนินการดังนี้
      • ส่วนที่ 1 ให้ใช้มีดโกนหรือมีดผ่าตัดใหม่ที่มีความคมมาก แบ่งชิ้นเนื้อออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ขนาดประมาณ1x1x1 ลบ.มม. โดยทำการแบ่งชิ้นเนื้อบนสไลด์ และชิ้นเนื้อนั้นต้องมีน้ำยา 2.5% glutaraldehyde หล่อให้ท่วมอยู่ตลอดเวลา เสร็จแล้วนำชิ้นเนื้อใส่ลงในขวดที่มีน้ำยา 2.5% glutaraldehyde ทิ้งไว้นาน 30 นาที ระหว่างนี้ให้เขย่าขวดตลอดเวลาหรือใช้เครื่อง rotator หรือ shaker เมื่อครบเวลาแล้วให้เปลี่ยนน้ำยาในขวดเป็น phosphate buffer โดยเปลี่ยนน้ำยา buffer 3 ครั้ง ๆ ละ 10 นาที ระหว่างนี้ต้องเขย่าขวดเช่นกัน เสร็จแล้วให้นำชิ้นเนื้อที่แช่ใน phosphate buffer เก็บในตู้เย็นอุณหภูมิ 4°C เพื่อรอนำส่งต่อไป
      • ส่วนที่ 2 ให้ใส่ลงใน O.C.T compound (เป็นชื่อทางการค้าและเป็นน้ำยาสำเร็จรูปต้องจัดหาเอง) แล้วทำให้แข็งโดยแช่ในช่อง freeze ทิ้งไว้เพื่อรอนำส่งต่อไป ระหว่างนำส่งต้องเก็บในน้ำแข็งแห้ง เพื่อไม่ให้ O.C.T compound ละลาย
      • *** ระหว่างนำส่ง *** ต้องเก็บความเย็นไม่ให้ O.C.T compound ละลายโดยใส่ในน้ำแข็งแห้ง
        แล้วใส่ในภาชนะเก็บความเย็นขณะนำส่ง
      • ส่วนที่ 3 ให้ใส่ไว้ในตู้เย็นอุณหภูมิ 4°C เพื่อรอนำส่งพร้อมกับส่วนอื่น ๆ

    วิธีการเตรียมน้ำยาที่ใช้สำหรับเก็บชิ้นเนื้อ Kidney biopsy
    1 2.5% glutaraldehyde in phosphate buffer
        - 50% glutaraldehyde (EM grade)
        - Phosphate buffer

    5 ml.
    95 ml.
    2 Phosphate buffer
       Solution A :
        - Sodium dihydrogen phosphate monohydrate
        - Distilled water


    2.26 g.
    100 ml.
       Solution B :
        - Sodium hydroxide phosphate (NaOH)
        - Distilled water

    0.504 g.
    20 ml.
       Solution C :
        - Glucose
        - Distilled water

    0.54 g.
    10 ml.
       Solution D :
        - ผสม Solution A 83 ml. กับ Solution B 17 ml. ปรับ pH 7.3-7.4
       Buffer :
        - ผสม Solution D 90 ml. กับ Solution C 10 ml. เก็บไว้ในตู้เย็นอุณหภูมิ 4°C
    3 10% neutral buffer formalin (ดูวิธีการเตรียมในวิธีการเก็บและส่งสิ่งส่งตรวจศัลยกรรม)
    วิธีวางชิ้นเนื้อใน OCT compound

           วางแผ่นอลูมิเนียมฟอยล์ขนาดพอที่จะห่อชิ้นเนื้อได้สะดวก บนน้ำแข็งแห้งหรือบนพื้นที่มีความเย็นจัดประมาณ -200 °C เช่น ในช่องแช่แข็งในตู้เย็น หยด OCT compound ลงไป รอจนเริ่มแข็งตัว OCT จะเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่น นำชิ้นเนื้อวางลงไปในแนวราบ ถ้าเป็นชิ้นเนื้อจากผิวหนังให้วางชิ้นเนื้อโดยการตะแคงข้างขึ้น โดยให้ชั้นผิวหนังและชั้นใต้ผิวหนังอยู่ในแนวราบ แล้วหยด OCT ลงไปอีกจนท่วมชิ้นเนื้อพับอลูมิเนียมฟอยล์ห่อชิ้นเนื้อนั้นนำใส่ในขวดเก็บตัวอย่าง แล้วรีบแช่ในน้ำแข็งแห้งหรือไนโตรเจนเหลวทันที


     

    คำแนะนำในการส่งสไลด์แก้ว

    1. สไลด์ที่ส่งตรวจทุกแผ่นต้องเขียนข้อมูลระบุตัวตนผู้ป่วยบนหัวสไลด์ เพื่อป้องกันการสลับกับสไลด์ของผู้ป่วยรายอื่น
    2. ใช้กระจกสไลด์ชนิดขอบฝ้า (Frosted end glass slide) เท่านั้น ห้ามใช้กระจกสไลด์ชนิดใสทั้งแผ่น (Clear glass slide)
    3. เขียนชื่อผู้ป่วยและเลขที่เวชระเบียนบนหัวสไลด์ด้านที่มีผิวขรุขระด้วยดินสอชนิด HB
      ***ไม่ควรใช้ดินสอที่มีความเข้มมากกว่า HB (เช่น 2B, EE) เนื่องจากผงไส้ดินสอจะร่วงมาปะปนกับสิ่งส่งตรวจบนสไลด์มากกว่าดินสอชนิด HB และรบกวนการอ่านสไลด์***
    4. ห้ามใช้ปากกาที่หมึกลบได้ด้วยแอลกอฮอล์เขียนหัวสไลด์
    5. เขียนหัวสไลด์ให้เสร็จเรียบร้อยก่อนป้ายสิ่งส่งตรวจทุกครั้ง
    6. หากมีการบรรจุสไลด์ตั้งแต่ 2 แผ่นขึ้นไปในภาชนะเดียวกันซึ่งไม่มีร่องกั้นสำหรับวางสไลด์แยกกัน ควรใช้คลิปหนีบกระดาษหนีบบริเวณหัวสไลด์ทุกแผ่น เพื่อป้องกันไม่ให้กระจกสไลด์ประกบติดกันภายในภาชนะ
    7. ป้ายสิ่งส่งตรวจลงบนสไลด์ด้านที่หัวสไลด์มีผิวขรุขระ








     

    การส่งตรวจเซลล์วิทยานรีเวช (Gynecologic cytology – Pap test)


    ข้อแนะนำสำหรับผู้รับการตรวจ
    1. หลีกเลี่ยงการตรวจระหว่างมีประจำเดือน
    2. งดเพศสัมพันธ์ก่อนรับการตรวจ 24 ชั่วโมง
    3. ห้ามสวนล้างหรือทำความสะอาดภายในช่องคลอดก่อนรับการตรวจ 24 ชั่วโมง
    4. ไม่ใช้ยาเหน็บในช่องคลอดก่อนรับการตรวจ 48 ชั่วโมง

    ข้อแนะนำสำหรับแพทย์และเจ้าหน้าที่ผู้ทำการตรวจ
    1. ถุงมือที่ใช้สำหรับการตรวจควรเป็นชนิดไม่มีแป้ง เนื่องจากผงแป้งอาจปนเปื้อนในสิ่งส่งตรวจและรบกวนการอ่านสไลด์
    2. ควรหล่อลื่น speculum ด้วย normal saline solution เท่านั้น ไม่ควรใช้เจลหล่อลื่น เนื่องจากสารหล่อลื่นสามารถบดบังเซลล์ในสิ่งส่งตรวจได้

    ข้อแนะนำการเขียนใบส่งตรวจ
    1. กรอกข้อมูลในใบส่งตรวจให้ครบถ้วนและชัดเจน ด้วยลายมือที่อ่านง่าย (กรุณาอ่านหัวข้อคำแนะนำในการเขียนใบส่งตรวจทางเซลล์วิทยา)
    2. ข้อมูลสำคัญทางนรีเวชของผู้ป่วยที่ต้องบันทึกในใบส่งตรวจ ได้แก่ ความผิดปกติและรอยโรคที่พบจากการตรวจภายใน, วันที่ของประจำเดือนครั้งสุดท้าย (LMP), ประวัติการตั้งครรภ์ตามระบบ GPA หรือ TPAL terminology, อายุของบุตรคนสุดท้ายหรือระยะเวลาหลังจากแท้งบุตรคนสุดท้าย, การคุมกำเนิด, การใช้ยาฮอร์โมน, การวินิจฉัยทางคลินิก (clinical diagnosis) ที่เกี่ยวข้องกับการตรวจในครั้งนี้, ประวัติโดยย่อ (clinical history), ประวัติการรักษา (ยา, การผ่าตัด, รังสีรักษา), ผลการตรวจทางพยาธิวิทยาและเซลล์วิทยาครั้งก่อน
    3. ในกรณีที่ผู้ทำการตรวจ Pap smear ไม่ใช่แพทย์ กรุณาระบุชื่อและตำแหน่งหน้าที่ของผู้ทำการตรวจ

    วิธีการเตรียมสิ่งส่งตรวจ
    1. การส่งตรวจทางเซลล์วิทยานรีเวชด้วยวิธี Conventional Pap smear
      1. เขียนชื่อและเลขที่เวชระเบียน (HN) ของผู้ป่วยบนหัวสไลด์ด้วยดินสอก่อนทำการเก็บสิ่งส่งตรวจ
      2. หลังจากป้ายสิ่งส่งตรวจลงบนสไลด์ รีบวางสไลด์ลงในภาชนะบรรจุสารละลาย 95% ethyl alcohol ทั เตรียมสไลด์จำนวน 2-8 แผ่น เป็น air-dried slide 1 แผ่น และที่เหลือเป็น wet-fixed slide (หาก specimen มีปริมาณน้อยมาก สามารถเตรียมสไลด์ได้ไม่เกิน 2 แผ่น ให้ทำเฉพาะ wet-fixed slide)นที
               โดยให้ปริมาณของสารละลายท่วมแผ่นสไลด์
               - ถ้าทิ้งสไลด์ไว้จนแห้ง สามารถแก้ไขโดยแช่สไลด์ใน 0.9% normal saline นาน 2-3 นาทีก่อน นำไปแช่ใน 95% ethyl alcohol
               - อย่าเช็ดเนื้อเยื่อหรือเมือกที่ติดอยู่บนสไลด์ออกไป
      3. ข้อมูลสำคัญทางนรีเวชของผู้ป่วยที่ต้องบันทึกในใบส่งตรวจ ได้แก่ ความผิดปกติและรอยโรคที่พบจากการตรวจภายใน,วันที่ของประจำเดือนครั้งสุดท้าย (LMP), ประวัติการตั้งครรภ์ตามระบบ GPA หรือ TPAL terminology, อายุของบุตรคนสุดท้ายหรือระยะเวลาหลังจากแท้งบุตรคนสุดท้าย, การคุมกำเนิด, การใช้ยาฮอร์โมน, การวินิจฉัยทางคลินิก (clinical diagnosis) ที่เกี่ยวข้องกับการตรวจในครั้งนี้, ประวัติโดยย่อ (clinical history), ประวัติการรักษา (ยา, การผ่าตัด, รังสีรักษา), ผลการตรวจทางพยาธิวิทยาและเซลล์วิทยาครั้งก่อน
      4.    ในกรณีที่ผู้ทำการตรวจ Pap smear ไม่ใช่แพทย์ กรุณา<ระบุชื่อและตำแหน่งหน้าที่ของผู้ทำการตรวจ
    2. การส่งตรวจทางเซลล์วิทยานรีเวชด้วยวิธี Liquid-based technique
      1.    เก็บสิ่งส่งตรวจลงในภาชนะบรรจุสารละลาย fixative ปิดฝาให้แน่น ติดฉลากระบุตัวตนของผู้ป่วยบนภาชนะ
      2.    นำภาชนะและใบส่งตรวจส่งห้องปฏิบัติการ
        *** สอบถามชนิดของอุปกรณ์การตรวจทางเซลล์วิทยา Liquid-based ได้จากกลุ่มงานเซลล์วิทยา สถาบันพยาธิวิทยา ***
     

    การส่งตรวจของเหลวในร่างกาย (Body fluid)


           ของเหลวในร่างกาย ได้แก่ น้ำจากช่องปอด (pleural effusion) ช่องเยื่อหุ้มหัวใจ (pericardial effusion) น้ำจากช่องท้อง (peritoneal fluid, ascites, peritoneal washing)

    ข้อแนะนำการเก็บสิ่งส่งตรวจ
         - ควรนำสิ่งส่งตรวจทั้งหมด (ที่เหลือจากการแบ่งไปส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการชนิดอื่น เช่น cell count and differential count, culture, etc.)
           ส่งตรวจเซลล์วิทยา
         - สิ่งส่งตรวจที่เหมาะสมควรมีปริมาณอย่างน้อย 30-50 มิลลิลิตร
           (สิ่งส่งตรวจที่มีปริมาณน้อยกว่า 50 มิลลิลิตร จะทำให้ความแม่นยำในการตรวจหาเซลล์มะเร็งลดน้อยลง)

    ข้อแนะนำการเขียนใบส่งตรวจและฉลากติดภาชนะ
         - กรอกข้อมูลในใบส่งตรวจให้ครบถ้วนและชัดเจน ด้วยลายมือที่อ่านง่าย (กรุณาอ่านหัวข้อคำแนะนำในการเขียนใบส่งตรวจทางเซลล์วิทยา)
         - สิ่งส่งตรวจที่ได้จาก peritoneal washing ขณะทำการผ่าตัด ควรระบุให้ชัดเจนว่าเป็น peritoneal washing หรือสิ่งส่งตรวจจากการผ่าตัด
           ไม่ควรระบุแค่ ascites หรือ peritoneal fluid เนื่องจากทำให้สับสนกับสิ่งส่งตรวจที่เก็บได้จากการทำ paracentesis / abdominal tapping
         - ภาชนะบรรจุสิ่งส่งตรวจต้องมีฉลากระบุ ชื่อ-นามสกุล เลขที่เวชระเบียน (HN) ของผู้ป่วย ชนิดของสิ่งส่งตรวจ ตำแหน่งที่เก็บ และวันที่เก็บ

    วิธีการส่งตรวจ
    1. บรรจุของเหลวในภาชนะแห้งสะอาดที่มีฝาปิดสนิท ปิดฝาภาชนะให้แน่น พันเทปกาวหรือพาราฟิลม์รอบฝาปิด ติดฉลากระบุตัวตนของผู้ป่วย
      ชนิดของสิ่งส่งตรวจ และวันที่เก็บสิ่งส่งตรวจบนภาชนะ ใส่ภาชนะในถุงพลาสติก มัดปากถุงให้แน่น
    2. ควรนำสิ่งส่งตรวจส่งสถาบันพยาธิวิทยาให้เร็วที่สุด
      - กรณีที่ไม่สามารถส่งได้ภายในเวลา 30 นาที ให้เก็บสิ่งส่งตรวจไว้ในตู้เย็นอุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส จนกว่าจะถึงเวลานำส่ง
      - ห้ามเก็บสิ่งส่งตรวจในตู้เย็นช่องแช่แข็งหรือในอุณหภูมิห้อง
      - ไม่ควรเติมสารละลายรักษาสภาพเซลล์ (fixative solution)
    3. นำสิ่งส่งตรวจและใบส่งตรวจ ส่งห้องปฏิบัติการ
      - หากระยะเวลาขนส่งนานกว่า 30 นาที ควรบรรจุสิ่งส่งตรวจในภาชนะแช่เย็นระหว่างนำส่ง
      - สถานพยาบาลที่ไม่สามารถนำสิ่งส่งตรวจมาส่งที่สถาบันพยาธิวิทยาได้เอง ต้องใช้บริการไปรษณีย์หรือบริษัทขนส่งเอกชน
        ควรเตรียมสิ่งส่งตรวจเป็นสไลด์ก่อนนำส่ง (กรุณาอ่านหัวข้อคำแนะนำการเตรียมสไลด์จากสิ่งส่งตรวจที่เป็นของเหลว)

    การเตรียมเซลล์บล็อก (cell block)
         - ในกรณีที่นำ specimen ที่เป็นของเหลวมาส่งสถาบันพยาธิวิทยา ทางสถาบันจะดำเนินการทำเซลล์บล็อกตามที่เห็นสมควรหรือตามที่ร้องขอ
            ถ้าสิ่งส่งตรวจมีปริมาณมากเพียงพอ
         - ในกรณีที่นำ specimen มาส่งเป็นสไลด์ ทางหน่วยงานผู้ส่งจะต้องดำเนินการทำ paraffin block เองและส่งบล็อกนั้นมาพร้อมกับสไลด์
            โดยใช้ใบส่งตรวจเซลล์วิทยาใบเดียวกัน

     

    การส่งตรวจเซลล์วิทยาน้ำไขสันหลัง (cerebrospinal fluid)


    ข้อแนะนำการเก็บน้ำไขสันหลัง
         - เก็บน้ำไขสันหลัง (CSF) ใส่ในขวดปลอดเชื้อ (sterile) ควรเลือกใช้ภาชนะพลาสติกมากกว่าขวดแก้ว เนื่องจากน้ำไขสันหลังมีปริมาณเซลล์น้อย และเซลล์เกาะติดผิวแก้วได้มากกว่าพลาสติก
         - หากสามารถทำได้ ควรเลือก CSF จากขวดที่เก็บได้เป็นขวดที่สองหรือสามส่งตรวจเซลล์วิทยา เนื่องจากขวดแรกที่เก็บได้มักมีเลือดปนเปื้อน และขวดในส่วนท้ายอาจจะมีปริมาณสิ่งส่งตรวจไม่พอสำหรับการตรวจ

    ข้อแนะนำการเขียนใบส่งตรวจและฉลากติดภาชนะ
         - กรอกข้อมูลในใบส่งตรวจให้ครบถ้วนและชัดเจน ด้วยลายมือที่อ่านง่าย (กรุณาอ่านหัวข้อ คำแนะนำในการเขียนใบส่งตรวจทางเซลล์วิทยา)
         - ภาชนะบรรจุสิ่งส่งตรวจต้องมีฉลากระบุ ชื่อ-นามสกุล เลขที่เวชระเบียน (HN) ของผู้ป่วย ชนิดของสิ่งส่งตรวจ และวันที่เก็บ
         - ควรให้ผลการตรวจ cell count and differential count มาด้วย เนื่องจากทางสถาบันพยาธิวิทยาไม่สามารถดูผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการของโรงพยาบาลผู้ส่งตรวจจากระบบคอมพิวเตอร์ และข้อมูลนี้มีความสำคัญต่อการวินิจฉัย
         - ในกรณีที่เก็บน้ำไขสันหลังจากบริเวณ shunt (ventriculoperitoneal shunt, Ommaya shunt, etc.) ต้องแจ้งมาในใบส่งตรวจ เนื่องจากใน CSF ที่เก็บจากบริเวณ shunt อาจพบเซลล์ชนิดที่ไม่ปรากฏใน CSF ปกติที่เก็บจาก lumbar puncture
         - หากเป็นของเหลวที่เก็บได้จากภายใน brain lesion ระหว่างผ่าตัด กรุณาระบุว่าเป็น intratumoral fluid หรือ intralesional fluid ไม่ใช่ cerebrospinal fluid

    วิธีการส่งตรวจ
    1. บรรจุน้ำไขสันหลังในขวดปลอดเชื้อ ปิดฝาภาชนะให้สนิท ติดเทปกาวรอบฝา และใส่ในถุงพลาสติกรัดปากถุงให้เรียบร้อย
    2. ควรนำสิ่งส่งตรวจส่งสถาบันพยาธิวิทยาให้เร็วที่สุดโดยไม่ต้องเติมสารละลายรักษาสภาพเซลล์ (fixative solution) จะช่วยให้ได้คุณภาพเซลล์ที่ดีที่สุด
      - กรณีที่ไม่สามารถส่งถึงสถาบันพยาธิวิทยาได้ภายในเวลา 30 นาที ให้เก็บสิ่งส่งตรวจไว้ในตู้เย็นอุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส จนกว่าจะถึงเวลานำส่ง
      - ห้ามเก็บสิ่งส่งตรวจในช่องแช่แข็งหรือในอุณหภูมิห้อง
    3. นำสิ่งส่งตรวจและใบส่งตรวจ ส่งห้องปฏิบัติการ
      - หากระยะเวลาขนส่งนานกว่า 30 นาที ควรบรรจุสิ่งส่งตรวจในภาชนะแช่เย็นระหว่างนำส่ง
      - สถานพยาบาลที่ไม่สามารถนำสิ่งส่งตรวจมาส่งที่สถาบันพยาธิวิทยาได้เอง ต้องใช้บริการไปรษณีย์หรือบริษัทขนส่งเอกชน
        ควรเตรียมสิ่งส่งตรวจเป็นสไลด์ก่อนนำส่ง (กรุณาอ่านหัวข้อ คำแนะนำการเตรียมสไลด์จากสิ่งส่งตรวจที่เป็นของเหลว)
    หมายเหตุ
           - สถาบันพยาธิวิทยาไม่รับตรวจ CSF จากผู้ป่วยที่สงสัยว่าเป็นโรค Creutzfeldt-Jakob disease (CJD) เนื่องจากโรคนี้ไม่มีความผิดปกติทาง cytology ที่จำเพาะต่อตัวโรค การส่งตรวจทางเซลล์วิทยาไม่ช่วยในการวินิจฉัยและเพิ่มความเสี่ยงของบุคลากรในห้องปฏิบัติการต่อการติดเชื้อ

     

    การส่งตรวจของเหลวในร่างกาย (Body fluid)


           ของเหลวในร่างกาย ได้แก่ น้ำจากช่องปอด (pleural effusion) ช่องเยื่อหุ้มหัวใจ (pericardial effusion) น้ำจากช่องท้อง (peritoneal fluid, ascites, peritoneal washing)

    ข้อแนะนำการเก็บสิ่งส่งตรวจ
         - ควรนำสิ่งส่งตรวจทั้งหมด (ที่เหลือจากการแบ่งไปส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการชนิดอื่น เช่น cell count and differential count, culture, etc.)
           ส่งตรวจเซลล์วิทยา
         - สิ่งส่งตรวจที่เหมาะสมควรมีปริมาณอย่างน้อย 30-50 มิลลิลิตร
           (สิ่งส่งตรวจที่มีปริมาณน้อยกว่า 50 มิลลิลิตร จะทำให้ความแม่นยำในการตรวจหาเซลล์มะเร็งลดน้อยลง)

    ข้อแนะนำการเขียนใบส่งตรวจและฉลากติดภาชนะ
         - กรอกข้อมูลในใบส่งตรวจให้ครบถ้วนและชัดเจน ด้วยลายมือที่อ่านง่าย (กรุณาอ่านหัวข้อคำแนะนำในการเขียนใบส่งตรวจทางเซลล์วิทยา)
         - สิ่งส่งตรวจที่ได้จาก peritoneal washing ขณะทำการผ่าตัด ควรระบุให้ชัดเจนว่าเป็น peritoneal washing หรือสิ่งส่งตรวจจากการผ่าตัด
           ไม่ควรระบุแค่ ascites หรือ peritoneal fluid เนื่องจากทำให้สับสนกับสิ่งส่งตรวจที่เก็บได้จากการทำ paracentesis / abdominal tapping
         - ภาชนะบรรจุสิ่งส่งตรวจต้องมีฉลากระบุ ชื่อ-นามสกุล เลขที่เวชระเบียน (HN) ของผู้ป่วย ชนิดของสิ่งส่งตรวจ ตำแหน่งที่เก็บ และวันที่เก็บ

    วิธีการส่งตรวจ
    1. บรรจุของเหลวในภาชนะแห้งสะอาดที่มีฝาปิดสนิท ปิดฝาภาชนะให้แน่น พันเทปกาวหรือพาราฟิลม์รอบฝาปิด ติดฉลากระบุตัวตนของผู้ป่วย
      ชนิดของสิ่งส่งตรวจ และวันที่เก็บสิ่งส่งตรวจบนภาชนะ ใส่ภาชนะในถุงพลาสติก มัดปากถุงให้แน่น
    2. ควรนำสิ่งส่งตรวจส่งสถาบันพยาธิวิทยาให้เร็วที่สุด
      - กรณีที่ไม่สามารถส่งได้ภายในเวลา 30 นาที ให้เก็บสิ่งส่งตรวจไว้ในตู้เย็นอุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส จนกว่าจะถึงเวลานำส่ง
      - ห้ามเก็บสิ่งส่งตรวจในตู้เย็นช่องแช่แข็งหรือในอุณหภูมิห้อง
      - ไม่ควรเติมสารละลายรักษาสภาพเซลล์ (fixative solution)
    3. นำสิ่งส่งตรวจและใบส่งตรวจ ส่งห้องปฏิบัติการ
      - หากระยะเวลาขนส่งนานกว่า 30 นาที ควรบรรจุสิ่งส่งตรวจในภาชนะแช่เย็นระหว่างนำส่ง
      - สถานพยาบาลที่ไม่สามารถนำสิ่งส่งตรวจมาส่งที่สถาบันพยาธิวิทยาได้เอง ต้องใช้บริการไปรษณีย์หรือบริษัทขนส่งเอกชน
        ควรเตรียมสิ่งส่งตรวจเป็นสไลด์ก่อนนำส่ง (กรุณาอ่านหัวข้อคำแนะนำการเตรียมสไลด์จากสิ่งส่งตรวจที่เป็นของเหลว)

    การเตรียมเซลล์บล็อก (cell block)
         - ในกรณีที่นำ specimen ที่เป็นของเหลวมาส่งสถาบันพยาธิวิทยา ทางสถาบันจะดำเนินการทำเซลล์บล็อกตามที่เห็นสมควรหรือตามที่ร้องขอ
            ถ้าสิ่งส่งตรวจมีปริมาณมากเพียงพอ
         - ในกรณีที่นำ specimen มาส่งเป็นสไลด์ ทางหน่วยงานผู้ส่งจะต้องดำเนินการทำ paraffin block เองและส่งบล็อกนั้นมาพร้อมกับสไลด์
            โดยใช้ใบส่งตรวจเซลล์วิทยาใบเดียวกัน

     

    การส่งตรวจเซลล์วิทยาปัสสาวะ (Urine)


    ปัสสาวะที่ส่งตรวจทางเซลล์วิทยา มี 3 ประเภท ได้แก่
         - Voided urine: ปัสสาวะที่ผู้ป่วยถ่ายเอง
         - Catheterized urine: ปัสสาวะที่เก็บจากสายสวนปัสสาวะ
         - Bladder washing: ปัสสาวะที่เก็บได้จากการทำ bladder irrigation หรือเก็บจากการส่องกล้องทางเดินปัสสาวะ (cystoscopy)

    ข้อแนะนำการเก็บ Voided urine
         - หากให้ผู้ป่วยเก็บปัสสาวะที่ถ่ายเอง (voided urine) ควรเป็นปัสสาวะครั้งแรกของวันในช่วงเช้าหลังตื่นนอน และเป็น midstream voided urine โดยแนะนำให้ผู้ป่วยทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศก่อนถ่ายปัสสาวะ ถ่ายปัสสาวะช่วงแรกทิ้งไปก่อนเก็บเฉพาะปัสสาวะช่วงกลางและทิ้งปัสสาวะช่วงท้าย
         - สิ่งส่งตรวจที่เหมาะสมควรมีปริมาณอย่างน้อย 30 มิลลิลิตร

    ข้อแนะนำการเก็บ Catheterized urine
         - หากผู้ป่วยใส่สายสวนปัสสาวะ (Foley catheter) อยู่ ให้เก็บปัสสาวะโดยใช้เข็มและไซริงค์ดูดปัสสาวะออกมาจากสายยางบริเวณ urine drainage port
         - ห้ามเก็บปัสสาวะที่ค้างอยู่ในถุงรองรับปัสสาวะ (urine collection bag) ส่งตรวจ เนื่องจากเซลล์ในปัสสาวะจะเสื่อมสภาพไปมากแล้ว

    ข้อแนะนำการเขียนใบส่งตรวจและฉลากติดภาชนะ
         - กรอกข้อมูลในใบส่งตรวจให้ครบถ้วนและชัดเจน ด้วยลายมือที่อ่านง่าย (กรุณาอ่านหัวข้อ คำแนะนำในการเขียนใบส่งตรวจทางเซลล์วิทยา) และต้องระบุว่าปัสสาวะมาจากการเก็บประเภทไหน
         - ภาชนะบรรจุต้องมีฉลากระบุ ชื่อ-นามสกุล เลขที่เวชระเบียน (HN) ของผู้ป่วย ชนิดของสิ่งส่งตรวจ และวันที่เก็บ

    วิธีการส่งตรวจปัสสาวะ
    1. บรรจุปัสสาวะในภาชนะแห้งสะอาดที่มีฝาปิดสนิท ติดเทปกาวหรือพาราฟิลม์รอบฝา และใส่ในถุงพลาสติกรัดปากถุงให้เรียบร้อย
    2. ควรนำสิ่งส่งตรวจส่งสถาบันพยาธิวิทยาให้เร็วที่สุดโดยไม่ต้องเติมสารละลายรักษาสภาพเซลล์ (fixative solution) จะช่วยให้ได้สไลด์ที่มีคุณภาพดีที่สุด
      - กรณีที่ไม่สามารถส่งได้ภายในเวลา 30 นาที ให้เก็บสิ่งส่งตรวจไว้ในตู้เย็นอุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส จนกว่าจะถึงเวลานำส่ง
      - ห้ามเก็บสิ่งส่งตรวจในตู้เย็นช่องแช่แข็งหรือในอุณหภูมิห้อง
    3. นำสิ่งส่งตรวจและใบส่งตรวจ ส่งห้องปฏิบัติการ

      -หากระยะเวลาขนส่งนานกว่า 30 นาที ควรบรรจุสิ่งส่งตรวจในภาชนะแช่เย็นระหว่างนำส่ง
      -สถานพยาบาลที่ไม่สามารถนำสิ่งส่งตรวจมาส่งที่สถาบันพยาธิวิทยาได้เอง ต้องใช้บริการไปรษณีย์หรือบริษัทขนส่งเอกชน ควรเตรียมสิ่งส่งตรวจเป็นสไลด์ก่อนนำส่ง (กรุณาอ่านหัวข้อ คำแนะนำการเตรียมสไลด์จากสิ่งส่งตรวจที่เป็นของเหลว)

     

    การส่งตรวจเซลล์วิทยาระบบทางเดินหายใจ (Sputum, BAL, bronchial wash, bronchial brushing)


    สิ่งส่งตรวจเซลล์วิทยาระบบทางเดินหายใจประกอบด้วย
    - เสมหะ (sputum)
         - เสมหะที่เก็บจากการให้ผู้ป่วยไอออกมาเอง (spontaneous deep cough)
         - เสมหะที่เก็บจากการกระตุ้นให้เกิดการไอ (induced sputum)
         - เสมหะที่เก็บหลังการส่องกล้อง (postbronchoscopy sputum)
    - Bronchial brushing
    - Bronchial washing
    - Bronchoalveolar lavage (BAL)

    ข้อแนะนำการเก็บเสมหะ
         - ให้ผู้ป่วยเก็บเสมหะตอนเช้า หลังตื่นนอนทันที จะได้สารคัดหลั่งในหลอดลมที่สะสมในช่วงกลางคืนออกมา
         - ให้ผู้ป่วยสั่งน้ำมูก แปรงฟัน บ้วนปากให้สะอาดก่อนเก็บเสมหะ
         - ภาชนะที่เก็บควรเป็นภาชนะแห้งสะอาดและมีปากกว้าง
         - หากผู้ป่วยไม่มีอาการไอ หรือไอไม่มีเสมหะ สามารถทำการกระตุ้นให้เกิดเสมหะโดยการทำ heated aerosol inhalation ด้วย 20% polypropylene glycol ผสมใน hypertonic (10%) saline solution หรือในน้ำกลั่น
         - การเก็บเสมหะภายหลังการส่องกล้อง 24 ชั่วโมง อาจช่วยให้ได้เสมหะปริมาณมากขึ้น เนื่องจากมีเซลล์หลุดลอกออกมาจากการทำหัตถการ
         - หากให้ผู้ป่วยเก็บเสมหะด้วยตนเองที่บ้าน ควรให้ภาชนะบรรจุสารละลายรักษาสภาพเซลล์ (fixative solution) 50-70% ethanol และเก็บภาชนะบรรจุเสมหะไว้ในตู้เย็นอุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียสก่อนนำมาส่งที่โรงพยาบาล

    ข้อแนะนำการเขียนใบส่งตรวจและฉลากติดภาชนะ
         - กรอกข้อมูลในใบส่งตรวจให้ครบถ้วนและชัดเจน ด้วยลายมือที่อ่านง่าย (กรุณาอ่านหัวข้อ คำแนะนำในการเขียนใบส่งตรวจทางเซลล์วิทยา)
         - ภาชนะบรรจุสิ่งส่งตรวจต้องมีฉลากระบุ ชื่อ-นามสกุล เลขที่เวชระเบียน (HN) ของผู้ป่วย ชนิดของสิ่งส่งตรวจ ตำแหน่งที่เก็บ และวันที่เก็บ
         - ภาชนะที่เก็บควรเป็นภาชนะแห้งสะอาดและมีปากกว้าง
         - ในกรณีที่ทำหัตถการหนึ่งครั้งได้สิ่งส่งตรวจหลายชนิด เช่นในการทำ Bronchoscopy มีการเก็บสิ่งส่งตรวจเป็น bronchial brushing, bronchial washing และ BAL ให้เขียนใบส่งตรวจแยกสำหรับสิ่งส่งตรวจแต่ละชนิด
         - หากต้องการตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีการย้อมพิเศษ (special stains) ดังต่อไปนี้ กรุณาระบุมาในใบส่งตรวจ
         - Oil-red-O stain สำหรับการหา lipid-laden macrophages
         - Iron stain สำหรับการหา hemosiderin-laden macrophages
         - GMS stain สำหรับการหา fungal organisms
    *** *** การย้อม GMS บนสเมียร์ ช่วยระบุชนิดของเชื้อราบางประเภทได้ เช่น Candida, Histoplasma, Cryptococcus, Pneumocystis แต่ไม่สามารถจำแนกย่อยจนถึงชั้น species ได้ หากต้องการทราบ species ของเชื้อรา กรุณาส่งตรวจ culture เพิ่มเติม ***

    วิธีการส่งตรวจเสมหะ
    1. หลังจากเก็บเสมหะได้ ควรทำการป้ายเสมหะลงบนสไลด์ทันที จะช่วยให้ได้สไลด์ที่มีคุณภาพดีที่สุด วิธีการเตรียมสไลด์มีดังต่อไปนี้
      - ป้ายเสมหะบนสไลด์แก้วแล้วใช้สไลด์อีกแผ่นหนึ่งวางประกบก่อนดึงสไลด์แยกออกจากกัน นำสไลด์แช่ในภาชนะบรรจุสารละลาย 95% ethyl alcohol ทันที โดยให้ปริมาณของสารละลายท่วมแผ่นสไลด์ ทำสไลด์จำนวน 4 แผ่น
      - ปิดฝาภาชนะให้แน่น พันเทปกาวหรือพาราฟิลม์รอบฝาปิด ติดฉลากระบุตัวตนของผู้ป่วย ชนิดของสิ่งส่งตรวจ และวันที่เก็บสิ่งส่งตรวจบนภาชนะ ใส่ภาชนะในถุงพลาสติก มัดปากถุงให้แน่น
      - นำภาชนะบรรจุสไลด์และสารละลาย 95% ethanol พร้อมใบส่งตรวจ ส่งห้องปฏิบัติการ
    2. กรณีที่ไม่สามารถเตรียมสิ่งส่งตรวจเป็นสไลด์ได้ภายในเวลา 30 นาที หลังจากเก็บ
      - เก็บสิ่งส่งตรวจไว้ในตู้เย็นอุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส จนกว่าจะถึงเวลานำส่ง
      - ห้ามเก็บสิ่งส่งตรวจในช่องแช่แข็งหรือในอุณหภูมิห้อง
      - อาจพิจารณาเติมสารละลายรักษาสภาพเซลล์ (fixative solution) ลงในภาชนะบรรจุเสมหะ ทั้งนี้สิ่งส่งตรวจที่ใส่ fixative solution จะมีคุณภาพเซลล์ไม่ดีเท่าสิ่งส่งส่งตรวจที่นำส่งทันที (กรุณาอ่านหัวข้อ fixative solution สำหรับสิ่งส่งตรวจระบบทางเดินหายใจ)
      - ปิดฝาภาชนะให้แน่น พันเทปกาวหรือพาราฟิลม์รอบฝาปิด ติดฉลากระบุตัวตนของผู้ป่วย ชนิดของสิ่งส่งตรวจ และวันที่เก็บสิ่งส่งตรวจบนภาชนะ ใส่ภาชนะในถุงพลาสติก มัดปากถุงให้แน่น
    3. นำสิ่งส่งตรวจและใบส่งตรวจ ส่งห้องปฏิบัติการ
      - หากระยะเวลาขนส่งนานกว่า 30 นาที ควรบรรจุสิ่งส่งตรวจในภาชนะแช่เย็นระหว่างนำส่ง
      - สถานพยาบาลที่ไม่สามารถนำสิ่งส่งตรวจมาส่งที่สถาบันพยาธิวิทยาได้เอง ต้องใช้บริการไปรษณีย์หรือบริษัทขนส่งเอกชน ควรเตรียมสิ่งส่งตรวจเป็นสไลด์ก่อนนำส่ง (กรุณาอ่านหัวข้อ วิธีการเตรียมสไลด์)
    วิธีการส่งตรวจ specimen จาก bronchial brushing
    กรุณาอ่านหัวข้อ การส่งตรวจเซลล์วิทยาจากวิธี brushing

    วิธีการส่งตรวจ specimen จาก bronchial washing และ BAL
    1. บรรจุของเหลวในภาชนะแห้งสะอาดที่มีฝาปิดสนิท ปิดฝาภาชนะให้แน่น พันเทปกาวหรือพาราฟิลม์รอบฝาปิด ติดฉลากระบุตัวตนของผู้ป่วย ชนิดของสิ่งส่งตรวจ และวันที่เก็บสิ่งส่งตรวจบนภาชนะ ใส่ภาชนะในถุงพลาสติก มัดปากถุงให้แน่น
    2. ควรนำสิ่งส่งตรวจส่งสถาบันพยาธิวิทยาให้เร็วที่สุด
      - กรณีที่ไม่สามารถส่งได้ภายในเวลา 30 นาที ให้เก็บสิ่งส่งตรวจไว้ในตู้เย็นอุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส จนกว่าจะถึงเวลานำส่ง
      - ห้ามเก็บสิ่งส่งตรวจในตู้เย็นช่องแช่แข็งหรือในอุณหภูมิห้อง
      - หากไม่สามารถนำส่งได้ภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากเก็บ อาจพิจารณาใส่สารละลายรักษาสภาพเซลล์ ในอัตราส่วน specimen:fixative solution เป็น 1:1 ทั้งนี้สิ่งส่งตรวจที่ใส่ fixative solution จะมีคุณภาพเซลล์ไม่ดีเท่าสิ่งส่งส่งตรวจที่นำส่งทันที (กรุณาอ่านหัวข้อ fixative solution สำหรับสิ่งส่งตรวจระบบทางเดินหายใจ)
    3. นำสิ่งส่งตรวจและใบส่งตรวจ ส่งห้องปฏิบัติการ
    4. - หากระยะเวลาขนส่งนานกว่า 30 นาที ควรบรรจุสิ่งส่งตรวจในภาชนะแช่เย็นระหว่างนำส่ง
      - สถานพยาบาลที่ไม่สามารถนำสิ่งส่งตรวจมาส่งที่สถาบันพยาธิวิทยาได้เอง ต้องใช้บริการไปรษณีย์หรือบริษัทขนส่งเอกชน ควรเตรียมสิ่งส่งตรวจเป็นสไลด์ก่อนนำส่ง (กรุณาอ่านหัวข้อ คำแนะนำการเตรียมสไลด์จากสิ่งส่งตรวจที่เป็นของเหลว)
    5. นำสิ่งส่งตรวจและใบส่งตรวจ ส่งห้องปฏิบัติการ
      - หากระยะเวลาขนส่งนานกว่า 30 นาที ควรบรรจุสิ่งส่งตรวจในภาชนะแช่เย็นระหว่างนำส่ง
      - สถานพยาบาลที่ไม่สามารถนำสิ่งส่งตรวจมาส่งที่สถาบันพยาธิวิทยาได้เอง ต้องใช้บริการไปรษณีย์หรือบริษัทขนส่งเอกชน ควรเตรียมสิ่งส่งตรวจเป็นสไลด์ก่อนนำส่ง (กรุณาอ่านหัวข้อ วิธีการเตรียมสไลด์)
    สารละลายรักษาสภาพเซลล์ (Fixative Solution)
    สำหรับสิ่งส่งตรวจระบบทางเดินหายใจ สามารถเลือกใช้ได้อย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
    1. 50-70 % ethyl alcohol
    2. Saccomanno fixative คือสารละลายที่ประกอบด้วย 50% ethanol และ 2% polyethylene glycol
      หมายเหตุ
      - สิ่งส่งตรวจที่ใส่ fixative solution จะมีคุณภาพเซลล์ไม่ดีเท่าสิ่งส่งส่งตรวจที่ได้รับการเตรียมเป็นสไลด์ทันที

     

    การส่งตรวจเซลล์วิทยาจากหัตถการเจาะดูดด้วยเข็มเล็ก (Fine Needle Aspiration)

    ข้อแนะนำการเก็บสิ่งส่งตรวจ

    เทคนิคการเจาะดูดด้วยเข็มเล็ก (Fine needle aspiration - FNA) ได้แก่

    1. Vacuum suction:
    2.       การทำ FNA โดยใช้ needle ต่อกับ syringe และอาจจะใช้ที่จับ syringe (syringe holder) ร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้
    3. French (Zajdela) technique:
    4.      การทำ FNA โดยไม่มีการ suction สามารถทำได้โดยการใช้เพียง needle ที่ไม่ต่อกับ syringe วิธีนี้จะเก็บสิ่งส่งตรวจได้ปริมาณน้อยกว่าวิธีแรก แต่มีเลือดติดออกมาน้อยกว่า สิ่งส่งตรวจจะเข้ามาใหเข็มด้วยแรง capillary pressure วิธีนี้จึงเหมาะกับการทำ FNA ในอวัยวะที่อยู่ตื้นและมีเลือดมาเลี้ยงปริมาณมาก เช่น ต่อมธัยรอยด์ (Thyroid gland)
    ข้อแนะนำการเขียนใบส่งตรวจและฉลากติดภาชนะ
    - กรอกข้อมูลในใบส่งตรวจให้ครบถ้วนและชัดเจน ด้วยลายมือที่อ่านง่าย (กรุณาอ่านหัวข้อ คำแนะนำในการเขียนใบส่งตรวจทางเซลล์วิทยา)
    - ภาชนะบรรจุสิ่งส่งตรวจต้องมีฉลากระบุ ชื่อ-นามสกุล เลขที่เวชระเบียน (HN) ของผู้ป่วย ชนิดของสิ่งส่งตรวจ ตำแหน่งที่เก็บ และวันที่เก็บ

    วิธีการส่งตรวจสไลด์ FNA
    1. เขียนชื่อและเลขที่เวชระเบียนของผู้ป่วยบนสไลด์ทุกแผ่นที่จะส่งตรวจ (กรุณาอ่านหัวข้อ คำแนะนำในการเตรียมสไลด์แก้ว)
    2. หากเก็บของเหลวได้ปริมาณมาก เช่น cyst fluid ให้นำของเหลวใส่ภาชนะและส่งตรวจด้วยวิธีการเดียวกับการส่งตรวจเซลล์วิทยา body fluid อื่นๆ (กรุณาอ่านหัวข้อการส่งตรวจเซลล์วิทยาของเหลวจากในร่างกาย)
    3. ป้าย specimen ลงบนสไลด์
      - ถอด needle ออกจาก syringe
      - ดึงลูกสูบ (Plunger) ดูดอากาศเข้า syringe ก่อนต่อ needle กลับเข้าไป
      - วาง glass slide บนโต๊ะ หงายด้านขรุขระของรอยฝ้าตรงหัวสไลด์ขึ้น แตะปลาย needle บนสไลด์และดันลูกสูบฉีด specimen ออกมาบนสไลด์ช้าๆ
      - นำสไลด์อีกแผ่นวางคว่ำประกบด้านบน ให้ specimen กระจายออก ก่อนเลื่อนสไลด์แยกออกจากกันให้สิ่งส่งตรวจกระจายทั่วสไลด์และบางสม่ำเสมอกัน
      - ขั้นตอนการทำ FNA และการเตรียมสไลด์โดยละเอียด สามารถศึกษาเพิ่มเติมจาก VDO ได้ที่
      http://www.papsociety.org/fna-techniques/
      https://www.youtube.com/watch?v=mXh9en_nCBU
    4. เตรียมสไลด์จำนวน 2-8 แผ่น เป็น air-dried slide 1 แผ่น และที่เหลือเป็น wet-fixed slide (หาก specimen มีปริมาณน้อยมาก สามารถเตรียมสไลด์ได้ไม่เกิน 2 แผ่น ให้ทำเฉพาะ wet-fixed slide)
    5. 4.1 Air-dried slide
      - วางสไลด์ทิ้งไว้ให้แห้งสนิทก่อนบรรจุลงกล่อง - ติดฉลากระบุตัวตนของผู้ป่วยบนกล่อง
      4.2 Wet-fixed slide
      - รีบวางสไลด์ลงในภาชนะ (Coplin jar) บรรจุ 95% ethyl alcohol ทันที ให้ปริมาณของสารละลายท่วมแผ่นสไลด์
      - ปิดฝาภาชนะให้แน่น พันเทปกาวหรือพาราฟิลม์รอบฝาปิด ติดฉลากระบุตัวตนของผู้ป่วยบนภาชนะ ใส่ภาชนะในถุงพลาสติก มัดปากถุงให้แน่น
    6. นำสิ่งส่งตรวจพร้อมใบส่งตรวจส่งห้องปฏิบัติการ
    วิธีการส่งตรวจ Cell block จาก FNA
    1. เตรียมภาชนะบรรจุ 10% neutral buffered formalin
      *** ภาชนะที่ใช้ สามารถใช้ tube พลาสติกที่มีฝาปิดมิดชิด หรือหลอดเก็บเลือดชนิดจุกสีแดง (No additive blood collection tube) ***
    2. นำ needle ที่ใช้ในการทำ FNA ซึ่งมี specimen ค้างอยู่ในเข็มใส่ลงในภาชนะ
      *** ห้ามนำเข็มหุ้มปลอกใส่ในถุงพลาสติกบรรจุ 10% neutral buffered formalin เนื่องจากปลอกเข็มอาจจะหลุดออกและเข็มแทงทะลุถุงพลาสติกออกมา ทำให้เกิดการรั่วไหลและเป็นอันตรายต่อเจ้าหน้าที่ผู้นำส่ง ***
    3. หากมีชิ้นเนื้อหลุดออกมากับของเหลวจากการทำ FNA ให้แยกชิ้นเนื้อนำมาใส่ใน 10% neutral buffered formalin เพื่อส่งตรวจเป็น cell block
    4. ปิดฝาภาชนะให้แน่น พันเทปกาวหรือพาราฟิลม์รอบฝาปิด ติดฉลากระบุตัวตนของผู้ป่วยบนภาชนะ ใส่ภาชนะในถุงพลาสติก มัดปากถุงให้แน่น
    5. นำส่งห้องปฏิบัติการพร้อมกับสไลด์ที่ได้จากการทำ FNA

     

    การส่งตรวจเซลล์วิทยาจากวิธี brushing

    ข้อแนะนำการเก็บสิ่งส่งตรวจ

    เทคนิคการเจาะดูดด้วยเข็มเล็ก (Fine needle aspiration - FNA) ได้แก่

    1. Vacuum suction:
    2.       การทำ FNA โดยใช้ needle ต่อกับ syringe และอาจจะใช้ที่จับ syringe (syringe holder) ร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้
    3. French (Zajdela) technique:
    4.      การทำ FNA โดยไม่มีการ suction สามารถทำได้โดยการใช้เพียง needle ที่ไม่ต่อกับ syringe วิธีนี้จะเก็บสิ่งส่งตรวจได้ปริมาณน้อยกว่าวิธีแรก แต่มีเลือดติดออกมาน้อยกว่า สิ่งส่งตรวจจะเข้ามาใหเข็มด้วยแรง capillary pressure วิธีนี้จึงเหมาะกับการทำ FNA ในอวัยวะที่อยู่ตื้นและมีเลือดมาเลี้ยงปริมาณมาก เช่น ต่อมธัยรอยด์ (Thyroid gland)
    ข้อแนะนำการเขียนใบส่งตรวจและฉลากติดภาชนะ
    - กรอกข้อมูลในใบส่งตรวจให้ครบถ้วนและชัดเจน ด้วยลายมือที่อ่านง่าย (กรุณาอ่านหัวข้อ คำแนะนำในการเขียนใบส่งตรวจทางเซลล์วิทยา)
    - ภาชนะบรรจุสิ่งส่งตรวจต้องมีฉลากระบุ ชื่อ-นามสกุล เลขที่เวชระเบียน (HN) ของผู้ป่วย ชนิดของสิ่งส่งตรวจ ตำแหน่งที่เก็บ และวันที่เก็บ

    วิธีการส่งตรวจสไลด์ FNA
    1. เขียนชื่อและเลขที่เวชระเบียนของผู้ป่วยบนสไลด์ทุกแผ่นที่จะส่งตรวจ (กรุณาอ่านหัวข้อ คำแนะนำในการเตรียมสไลด์แก้ว)
    2. หากเก็บของเหลวได้ปริมาณมาก เช่น cyst fluid ให้นำของเหลวใส่ภาชนะและส่งตรวจด้วยวิธีการเดียวกับการส่งตรวจเซลล์วิทยา body fluid อื่นๆ (กรุณาอ่านหัวข้อการส่งตรวจเซลล์วิทยาของเหลวจากในร่างกาย)
    3. ป้าย specimen ลงบนสไลด์
      - ถอด needle ออกจาก syringe
      - ดึงลูกสูบ (Plunger) ดูดอากาศเข้า syringe ก่อนต่อ needle กลับเข้าไป
      - วาง glass slide บนโต๊ะ หงายด้านขรุขระของรอยฝ้าตรงหัวสไลด์ขึ้น แตะปลาย needle บนสไลด์และดันลูกสูบฉีด specimen ออกมาบนสไลด์ช้าๆ
      - นำสไลด์อีกแผ่นวางคว่ำประกบด้านบน ให้ specimen กระจายออก ก่อนเลื่อนสไลด์แยกออกจากกันให้สิ่งส่งตรวจกระจายทั่วสไลด์และบางสม่ำเสมอกัน
      - ขั้นตอนการทำ FNA และการเตรียมสไลด์โดยละเอียด สามารถศึกษาเพิ่มเติมจาก VDO ได้ที่
      http://www.papsociety.org/fna-techniques/
      https://www.youtube.com/watch?v=mXh9en_nCBU
    4. เตรียมสไลด์จำนวน 2-8 แผ่น เป็น air-dried slide 1 แผ่น และที่เหลือเป็น wet-fixed slide (หาก specimen มีปริมาณน้อยมาก สามารถเตรียมสไลด์ได้ไม่เกิน 2 แผ่น ให้ทำเฉพาะ wet-fixed slide)
    5. 4.1 Air-dried slide
      - วางสไลด์ทิ้งไว้ให้แห้งสนิทก่อนบรรจุลงกล่อง - ติดฉลากระบุตัวตนของผู้ป่วยบนกล่อง
      4.2 Wet-fixed slide
      - รีบวางสไลด์ลงในภาชนะ (Coplin jar) บรรจุ 95% ethyl alcohol ทันที ให้ปริมาณของสารละลายท่วมแผ่นสไลด์
      - ปิดฝาภาชนะให้แน่น พันเทปกาวหรือพาราฟิลม์รอบฝาปิด ติดฉลากระบุตัวตนของผู้ป่วยบนภาชนะ ใส่ภาชนะในถุงพลาสติก มัดปากถุงให้แน่น
    6. นำสิ่งส่งตรวจพร้อมใบส่งตรวจส่งห้องปฏิบัติการ

     

    การเตรียมสไลด์จากสิ่งส่งตรวจที่เป็นของเหลว

    สถานพยาบาลที่ไม่สามารถนำสิ่งส่งตรวจมาส่งที่สถาบันพยาธิวิทยาได้เอง ต้องใช้บริการไปรษณีย์หรือบริษัทขนส่งเอกชน ให้เตรียมสิ่งส่งตรวจเป็นสไลด์ก่อนนำส่ง ตามวิธีดังต่อไปนี้

    1. เขียนชื่อและเลขที่เวชระเบียนของผู้ป่วยลงบนหัวสไลด์ทุกแผ่น
    2. นำของเหลวใส่ centrifuge tube ไปปั่นด้วยเครื่อง centrifuge อัตราเร็ว 5000/รอบ/นาที นาน 5 นาที
    3. เทของเหลวส่วนบนทิ้ง
    4. นำส่วนตะกอนก้นหลอดป้ายลงบนสไลด์จำนวน 4 แผ่น เป็น air-dried slide 1 แผ่น และ wet-fixed slide 3 แผ่น
    5. 4.1 Air-dried slide (1 แผ่น)
      - ป้ายตะกอนสิ่งส่งตรวจจากบริเวณก้นหลอดบนสไลด์ วางทิ้งไว้ให้แห้งสนิทก่อนบรรจุลงกล่อง - ติดฉลากระบุตัวตนของผู้ป่วยบนกล่อง
      4.2 Wet-fixed slide (3 แผ่น)
      - ป้ายตะกอนสิ่งส่งตรวจบนสไลด์ รีบวางสไลด์ลงในภาชนะ (Coplin jar) บรรจุสารละลาย 95% ethyl alcohol ทันที โดยให้ปริมาณของสารละลายท่วมแผ่นสไลด์
      - ปิดฝาภาชนะให้แน่น พันเทปกาวหรือพาราฟิลม์รอบฝา ติดฉลากระบุตัวตนของผู้ป่วยบนภาชนะ ใส่ภาชนะในถุงพลาสติก มัดปากถุงให้แน่น
    6. ส่งสิ่งส่งตรวจและใบส่งตรวจมาที่สถาบันพยาธิวิทยา
    7. หากมีข้อสงสัย สามารถติดต่อสอบถามเจ้าหน้าที่กลุ่มงานเซลล์วิทยา สถาบันพยาธิวิทยา กรมการแพทย์ ได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-354-8208 ถึง 15 ต่อหมายเลขภายใน 135

     

    วิธีส่งตรวจทาง Electron microscopy

    ชิ้นเนื้อที่ต้องการส่งตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้

    1. ชิ้นเนื้อสดที่ได้จากการผ่าตัดทันที (fresh specimen)
    2. ชิ้นเนื้อที่แช่ในฟอร์มาลิน (formalin-fixed specimen)
    3. ชิ้นเนื้อจากพาราฟินบล็อก (paraffin-embedded specimen)
    4. ชิ้นเนื้อประเภทที่ 1 จะให้ผลการตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนได้ดีที่สุด เพราะฉะนั้นหากเป็นไปได้ ควรส่งชิ้นเนื้อประเภทที่ 1 มาตรวจ ชิ้นเนื้อประเภทที่ 1 สามารถเตรียมชิ้นเนื้อก่อนส่งตรวจได้ ดังนี้
      • แจ้งแพทย์ผู้รับผิดชอบและเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการจุลทรรศน์อิเล็กตรอนล่วงหน้าอย่างน้อย 1 วัน
      • เตรียมน้ำยา 2.5% glutaraldehyde fixative หรือขอรับน้ำยานี้ได้ที่ห้องปฏิบัติการจุลทรรศน์อิเล็กตรอน แล้วเก็บไว้ในตู้เย็นที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส เพื่อรอการใช้งาน
      • เมื่อได้ชิ้นเนื้อสดจากการผ่าตัด ให้แบ่งมาส่วนหนึ่งล้างด้วย normal saline แล้วใช้ใบมีดคม ๆ หั่นชิ้นเนื้อที่แบ่งมานี้ออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ (ขนาดประมาณ 1 ลบ.ม.ม.) ในระหว่างนี้ให้หล่อชิ้นเนื้อด้วยน้ำยา 2.5% glutaraldehyde ตลอดเวลา และควรรีบทำด้วยความรวดเร็ว ใส่ชิ้นเนื้อที่ได้ทั้งหมดลงในขวดน้ำยา 2.5% glutaraldehyde บันทึกเวลาที่ใส่ชิ้นเนื้อ แล้วนำส่งห้องปฏิบัติการ- จุลทรรศน์อิเล็กตรอนภายในเวลาไม่เกิน 30 นาที
      • หากไม่สามารถส่งชิ้นเนื้อได้ทันที ให้จับเวลา 30 นาที ระหว่างนี้ให้เขย่าขวดตลอดเวลาหรือใส่ขวดใน rotator หรือ shaker หลังจากครบเวลาให้เปลี่ยนใส่น้ำยา phosphate buffer แทน จากนั้นให้เปลี่ยนน้ำยา phosphate buffer อีก 2 ครั้ง ๆ ละ 10 นาที แล้วเก็บใส่ตู้เย็นเพื่อรอส่งไปห้องปฏิบัติการจุลทรรศน์อิเล็กตรอนต่อไป (ควรส่งภายในเวลาไม่เกิน 1 สัปดาห์)
      • ชิ้นเนื้อประเภทที่ 2 และ 3 สามารถส่งมาได้ตามปกติ

    หมายเหตุ : การตรวจชิ้นเนื้อด้วยกล้องจุลทรรศน์ธรรมดา ยังมีความสำคัญเป็นอันดับแรกของการตรวจชิ้นเนื้อที่ได้จากการผ่าตัด เพราะฉะนั้นการตรวจชิ้นเนื้อด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนควรทำไปพร้อมกับการตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ธรรมดา

ระยะเวลาในการเก็บรักษาสิ่งส่งตรวจ



การเก็บรักษาสิ่งส่งตรวจและหลักฐานทางการแพทย์ เป็นไปตามมาตรฐานที่ราชวิทยาลัยพยาธิแพทย์แห่งประเทศไทย ได้กำหนดไว้ดังนี้

สิ่งส่งตรวจทางศัลย์พยาธิ   2    สัปดาห์หลังจากออกรายงานผล
สิ่งส่งตรวจทางเซลล์วิทยา   2    สัปดาห์หลังจากออกรายงานผล
อวัยวะจากการตรวจศพ   3    เดือนหลังรายงานผล
บล็อกพาราฟิน   5    ปี
สไลด์แก้ว   5    ปี
ใบรายงานผลและใบขอตรวจ 10    ปี

การติดต่อประสานงาน

สถาบันพยาธิวิทยา กรมการแพทย์ โทร.02-3548208


หน่วยงาน เบอร์ติดต่อภายใน
ศูนย์รับสิ่งส่งตรวจ 212, 216, 219
งานตรวจชิ้นเนื้อ 217, 218
งานเซลล์วิทยา 135
งานตรวจ Histochemistry 126
งานตรวจ Immunohistochemistry 236
งานตรวจ Molecular pathology 233
งานตรวจ FISH, DISH 136, 235
งานตรวจ Electron microscopy 125, 215
งานตรวจศพ 113

งานบริการตรวจพิเศษที่ห้องปฏิบัติการอื่น


รายชื่อห้องปฏิบัติการอื่นที่ส่งตรวจ

  1. ศูนย์จุฬายีนโปร ( CHULA GENEPRO CENTER )
    ที่อยู่ อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ ชั้น 6 โซน C 254 ถนนพญาไท แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
    (จันทร์-ศุกร์ ตั่งแต่เวลา 08.30-17.30 น.)

    รายการตรวจ

    Code Name
    32217 EGFR mutation: Normal track
    32217 EGFR mutation: Fast track
    38999 MET exon 14 skipping
    38999 HER2 exon 20 insertion
    38999 Lung cancer fusion genes (ALK, RET, ROS1, MET exon 14 skipping)
    37805 KRAS mutation: Fast track (สามารถตรวจ KRAS G12C ได้)
    38999 RAS and RAF mutation (สามารถตรวจ KRAS G12C ได้)
    38999 BRAF mutation (ไม่สามารถระบุ genotype ได้)
    38999 BRAF mutation: Fast track (ไม่สามารถระบุ genotype ได้)
    38999 BRAF duplication
    38999 PIK3CA mutation
    38999 MGMT promoter methylation
    38999 MLH1 promoter methylation
    38999 GIST genes panel (c-KIT exon 9, 11, 13, 17 and PDGFRa exon12, 14, 18)
    38999 Leukemia and Mastocytosis gene mutation (c-KIT exon 13, 17)
    38999 JAK2 mutation (V617F)
    38999 IDH1 (codon 132) and IdH2 (codon 172) mutation
    38999 FLT3 mutation (ITD)
    38999 TP53 mutation (exon 5, 6, 7, 8)
    37566 Microsatellite instability testing (MSI)
    38999 LOH 1p/19q
    38999 LOH 10q
    38999 TERT Promoter mutation (C228T and C250T)
    38999 CTNNB1 mutation (exon 3)
    38999 Histone: H3.3A (exon 2) mutation: Giant cell tumor of bone and Glioma
    38999 Histone: H3.3B (exon 2) mutation: Chondroblastoma
    38999 Histone: H3.1 (exon 1) and H3.3A (exon 2) mutation: Glioma
    38999 FGFR1 mutation (N546K, K656E)
    38999 POLE mutation (exon 9, 13, 14)
    37524 ZFTA-RELA fusion
    38999 DNA Extraction
    38999 RNA Extraction
    37550 BRCA mutation
    38999 MMR genes mutation
    38999 HRR genes panel
    38999 Breast, Colon, Endometrium and Ovarian cancer genes panel
    38999 Hereditary cancer genes panel
    32217 EGFR wild type NSCLC panel
    38999 Lung cancer actionable genes panel
    38999 Cancer Fusion genes panel
    38999 Breast cancer actionable genes panel
    38999 Colon cancer actionable genes panel


  2. ภาควิชาพยาธิวิทยา อาคาร 1 ชั้น 4 คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
    ที่อยู่ 270 ถนนพระรามที่ 6 แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400.

    รายการตรวจ

    code name
    37575 FISH for CDKN2A gene rearrangement
    38999 Lung fusion (ALK, ROS, RET, NTRK1, 2, 3 , MET skipping) (real time PCR)
    38999 MGMT Methylation (pyrosequencing)
    38999 IDH1 and IDH2 mutation (real time PCR)
    38999 PIK3CA mutation (real time PCR)
    37575 MDM2/CER Fluorescent in situ Hybridization
    37575 FISH for 1p 19q gene co-deletion
    37575 FISH for MET gene amplification
    37575 FISH for CIC breakapart
    37575 FISH for USP6 breakapart
    38999 ROS1 fusion (RT-real time PCR)
    38999 NTRK (RT-real time PCR)
    38999 MET skipping exon 14 (RT-real time PCR)
    38999 H3F3A & H3F3B mutation test
    38999 HER2 mutation test (insertion exon20)
    38999 Myo D1 mutation test
    38999 Beta-catenin mutation test
    32217 EGFR V III mutation
    38999 BRAF gene fusion
    38999 PDGFRA mutation test [exon 12, 14 and 18] for GIST (PCR with direct sequencing)
    38999 C-KIT mutation test [exon 9, 11, 13 and 17] for melanoma and GIST (PCR with direct sequencing)
    38999 FGFR mutation in bladder cancer (gene mutation and gene fusion)
    37524 Synovial sarcoma (SSX/SYT)
    37524 Ewing ‘s sarcoma (EWSR1/FLI1, EWSR1/ERG)
    38999 Alveolar rhabdomyosarcoma (PAX3,PAX7/FKHR)
    37524 Mesenchymal chondrosarcoma (HEY1/NCOA2)
    37524 Infantile fibrosarcoma (ETV6/NTRK3)
    37524 Desmoplastic small round cell tumor (EWSR1/WT1)
    37524 Myxoid/Round cell liposarcoma (FUS/DDIT3)
    37524 Extraskeletal myxoid chondrosarcoma (EWSR1/CHN)
    37524 Angiofibroma (AHRR/NCOA2)
    37524 clear cell sarcoma (EWSR1/ATF1)
    37524 Fibromyxoid sarcoma (FUS/CREB3L2)
    37524 Small cell osteosarcoma (EWSR1/CREB3L1)
    37524 Solitary fibrous tumor (NAB2/STAT6)
    37524 NUT midline carcinoma (NUT/BRD4)
    37524 undifferentiated small round cell sarcoma (BCOR/CCNB3)
    37524 Pericytoma (ACTB/GLI1)
    38999 clear cell / undifferentiated small round cell sarcoma (BCOR-ITD)
    37524 Dermatofibrosarcoma Protuberans (COL1A1/PDGFB)
    38999 Inflammatory myofibroblastic tumor (TFGex4/ROS1ex35, YWHAEex4/ROS1ex36,
    CLTC/ALK, RANBP2/ALK, TPM3/ALK,TPM4/ALK)
    38999 MYD88 mutation (L265P mutation)
    37575 FISH for c-myc gene rearrangement
    37575 FISH for BCL2 and BCL6 gene rearrangement
    37575 FISH for BCL2, BCL6 and c-myc gene rearrangement
    37575 FISH for MYC/IGH/CEN fusion
    38999 Adenovirus (In situ Hybridization)
    38999 Herpes simplex virus (HSV) (In situ Hybridization)
    38999 Human papillomavirus (HPV) low risk (DNA) (In situ Hybridization)
    38999 Human papillomavirus (HPV) high risk (RNA) (In situ Hybridization)
    38999 c-Met (Immunoperoxidase)
    38999 PD-L1 (22C3) (Immunoperoxidase)
    38999 PD-L1 (clone SP263) (Immunoperoxidase)
    37559 (RAPID) FGFR mutation in bladder cancer (gene mutation and gene fusion)

เกณฑ์การปฏิเสธสิ่งส่งตรวจ


เพื่อให้การตรวจทางห้องปฏิบัติการฯ เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานอย่างถูกต้อง


เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการรับสิ่งส่งตรวจทางพยาธิวิทยา จะปฏิเสธสิ่งส่งตรวจในกรณีต่อไปนี้

  1. การระบุ (Identification) สิ่งส่งตรวจไม่ถูกต้อง ได้แก่
    • ไม่มีใบขอตรวจ
    • ใบขอตรวจไม่ระบุชื่อ – นามสกลุ และ/หรือ เบอร์ Slide / block ของผู้ป่วย
    • ชื่อ-นามสกลุ ของผู้ป่วยไม่ตรงกับ ชื่อ-นามสกลุ ที่ปรากฏบนฉลากหรือภาชนะส่งตรวจ และ/หรือ เบอร์ Slide / block ของผู้ป่วย
    • ภาชนะบรรจุสิ่งส่งตรวจไม่ระบุหรือไม่ติดฉลาก ชื่อ-นามสกลุ ของผู้ป่วย
    • ชนิดของสิ่งส่งตรวจและตำแหน่งไม่สอดคล้องกับที่ระบุในใบขอส่งตรวจ
    • จำนวนและขนาดของสิ่งสงตรวจไม่สอดคล้องกับระบุในใบขอส่งตรวจ
  2. ภาชนะที่บรรจุชำรุดเสียหายทำให้ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าส่งสิ่งตรวจมีการสูญหายหรือไม่
  3. น้ำยาดองสิ่งส่งตรวจไม่เหมาะสม
  4. ส่งสิ่งส่งตรวจผิดห้องปฏิบัติการ
  5. Slide และ/หรือ Paraffin block ที่มาจากภายนอกสถาบันพยาธิวิทยาเพื่อทบทวนผลการวินิจฉัย (review) และ/หรือ ขอย้อมพิเศษหรือขอตรวจเพิ่ม
    • แตกหักไม่สามารถตรวจได้
    • ไม่มีสำเนาใบรายงานผลการตรวจ เพื่อยืนยันว่าสิ่งส่งตรวจนั้นเป็นของผู้ป่วยจริง
    • ไม่มีฉลากแสดงเลขที่ส่งตรวจที่สอดคล้องกับใบรายงานผลการตรวจ
  6. เป็นชิ้นเนื้อที่เกี่ยวกับคดีหรือมีแนวโน้มจะเกี่ยวข้องกับคดี (เป็นชิ้นเนื้อที่จะต้องนำไปเป็นวัตถุพยาน)
  7. ไม่ระบุข้อมลอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
    • ไม่ระบุชนิดของสิ่งส่งตรวจ
    • ไม่ระบุประเภทของการส่งตรวจ
    • ไม่ระบุชื่อแพทย์ผู้ขอส่งตรวจ
    • ไม่ระบุประวัติ อาการของโรค ลักษณะทางคลินิก ข้อมูลทางคลินิก และการวินิจฉัยโรคทางคลินิก
    • ไม่ระบุวัน เวลา ที่เก็บสิ่งส่งตรวจ และวันที่ส่งสิ่งส่งตรวจ

ขั้นตอนการปฏิบัติ

     เมื่อพบสิ่งส่งตรวจที่ไม่ได้มาตรฐานตามเกณฑ์การปฏิเสธสิ่งสงตรวจของห้องปฏิบัติการฯ เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการฯ จะทำการปฏิเสธสิ่งส่งตรวจ และแก้ไขตามขั้นตอนดังต่อไปนี้

ในกรณีข้อที่ 1-6

  1. ติดต่อไปยังแพทย์หรือผู้รับผิดชอบการขอตรวจเพื่อแจ้งการปฏิเสธสิ่งส่งตรวจให้รับทราบและ ดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องตามความเหมาะสม
  2. ให้หน่วยงานที่ส่งพิจารณานำสิ่งสงตรวจกลับไปพร้อมใบขอส่งตรวจและใบปฏิเสธสิ่งส่งตรวจ เพื่อทำการตรวจสอบข้อมูล และแก้ไขให้ถูกต้อง จึงนำกลับมาส่งใหม่ได้ได้

ในกรณีข้อที่ 7

  1. ติดต่อไปยังแพทย์หรือผู้รับผิดชอบการขอตรวจ เพื่อแจ้งการปฏิเสธสิ่งสงตรวจให้รับทราบและ ดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องตามความความเหมาะสม
  2. หรือให้หน่วยงานที่ส่งสงตรวจนำเฉพาะใบขอส่งตรวจกลับไปแก้ไขให้ถูกต้อง
  3. ถ้าในกรณีที่ไม่ได้ระบุข้อมูลหลายอย่างในข้อที่ 7 ข้างต้นพร้อมกัน ทางห้องปฏิบัติการรับสิ่งส่งตรวจทางพยาธิวิทยาจะทำการแจ้งปฏิเสธสิ่งสงตรวจให้รับทราบและดำเนินการตามขั้นตอน โดยให้หน่วยงาน ที่ส่งพิจารณานำสิ่งส่งตรวจกลับไปพร้อมใบขอตรวจและใบปฏิเสธสิ่งส่งตรวจ เพื่อทำการตรวจสอบ ข้อมูลและแก้ไขให้ถูกต้องจึงนำกลับมาส่งใหม่ได้